
สะเทือนวงการคนรักสุขภาพอีกครั้ง ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แจ้งเตือนเสริมยี่ห้อดังตรวจพบอันตรายอย่าง “ไซบูทรามีน (Sibutramine)” ซึ่งหากพูดถึงอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมมากในไทย คงจะหนีไม่พ้น "อาหารเสริมลดน้ำหนัก" แม้ว่าการลดน้ำหนักนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่ทางลัดอย่างการซื้ออาหารเสริมลดน้ำหนักมากินเองก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ดี เพราะไลฟ์สไตล์คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้ควบคุมอาหาร ซึ่งหากโชคร้ายผู้บริโภคอาจเจอกับอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ใส่สารต้องห้ามปะปนมาด้วยเป็นของแถม
ไซบูทรามีน (Sibutramine) คือเคมีอินทรีย์ที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่รู้สึกหิว และอิ่มเร็ว จึงเป็นที่นิยมในการลักลอบใส่ในอาหารเสริมลดน้ำหนัก
โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับคนที่กินยาที่มีส่วนผสมของไซบูทรามีน ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก ซึ่งยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตได้ไม่ดี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ที่มีโรคต้อหิน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
สำหรับไซบูทรามีน จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 โดยได้ยกเลิกนำออกจากทะเบียนตำรับยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เนื่องจากมีรายงานถึงผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต
บทลงโทษ : การฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับทั้งผู้ขายถึงผู้บริโภค
ในอดีตประเทศไทยมียาไซบูทรามีนทางการค้าเพียงชื่อเดียวที่ได้รับขึ้นทะเบียนตำรับยา คือ รีดักทิล (Reductil) ชนิดแคปซูล 10 มิลลิกรัม และ 15 มิลลิกรัม ภายหลังมีการขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาโดยสมัครใจภายใต้คำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตั้งแต่ 11 ตุลาคม 2553 ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72(5) ผู้ใดผลิต ขาย หรือนำเข้ายาที่ทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิก จะต้องได้รับโทษตามมาตรา 120 วรรคสอง คือต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือมาตรา 120 วรรคสาม ถ้ากระทำโดยไม่รู้ว่าเป็นยาทะเบียนตำรับถูกยกเลิก ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท แล้วแต่กรณี
เนื่องจากไซบูทรามีนถูกยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561 ส่งผลให้ลงโทษผู้กระทำผิดที่นำไปผสมกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โทษคือผู้ใดที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสม จะต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี ปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ตามมาตรา 115 วรรคหนึ่ง ถ้าผลิตเพื่อขาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7-20 ปี และปรับตั้งแต่ 7 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาทตามมาตรา 115 วรรคสอง ผู้ใดขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ตามมาตรา 116 ผู้ใดครอบครองจะมีโทษจำคุก 1-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 140 รวมไปถึงผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 141
ปัจจุบันพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เช่น ยาลดความอ้วน สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อรักษารูปร่างนั้นเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในวัยรุ่นหญิงที่มีค่านิยมอยากผอม ด้วยมองว่าเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและมีประสิทธิภาพดี ซึ่งบางครั้งทำให้ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อและใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพในทางที่ผิด
“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค” หลายครั้งมีการใช้คำโฆษณาทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าสามารถป้องกันหรือรักษาโรคได้ ทั้งที่ อย. ไม่เคยอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์อาหารโฆษณาไปในทางลดน้ำหนัก ซึ่งที่ผ่านมามักพบผลิตภัณฑ์ลักลอบใส่ไซบูทรามีน ซึ่ง อย. ได้ยกเลิกทะเบียนยาออกไปแล้วเพราะเกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด จนอาจเสียชีวิตได้
ยาลดความอ้วน : เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์แล้วว่าเป็น “โรคอ้วน” มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน ร่วมกับแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถลดน้ำหนักได้ดี เช่น ลดปริมาณอาหารให้พลังงานสูงร่วมกับการออกกำลังกายเป็นเวลานาน 3–6 เดือนแล้วไม่เกิดผลการเปลี่ยนแปลง การใช้ยาลดความอ้วน ไม่ควรหาซื้อด้วยตนเองตามร้านขายยา ร้านเสริมสวย ร้านค้าออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต หรือคลินิกที่ไม่มีการตรวจของแพทย์ รวมถึงจากร้านค้าที่ลักลอบนำมาขาย เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ สำหรับสารหรือยาที่มักพบในชุดยาลดน้ำหนัก ได้แก่ กลุ่มแอมเฟตามีน ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ยาขับปัสสาวะ ยาถ่ายหรือยาระบาย และกลุ่มยานอนหลับ ดังนั้น กรณีจำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วนควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนัก : แนะนำให้ใช้การควบคุมน้ำหนักแบบธรรมชาติด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเลขสารบบอาหาร อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์และข้อมูลโภชนาการจากฉลาก ไม่ควรเชื่อข้อมูลจากการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง หากพบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ Social Media: FDATHAI
ทั้งนี้ การลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด คือควบคุมการรับประทานอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ