svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

6 หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่ต้องใช้ “ไซบูทรามีน”

เตือนพิษร้าย “ไซบูทรามีน” สารอันตรายที่พบในยาลดความอ้วน แล้วจะเลือกอย่างไรเมื่อจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก พร้อมเผย 6 หลักการลดความอ้วนแบบถูกต้อง ปลอดภัย และยั่งยืน

สะเทือนวงการคนรักสุขภาพอีกครั้ง ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แจ้งเตือนเสริมยี่ห้อดังตรวจพบอันตรายอย่าง “ไซบูทรามีน (Sibutramine)” ซึ่งหากพูดถึงอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมมากในไทย คงจะหนีไม่พ้น "อาหารเสริมลดน้ำหนัก" แม้ว่าการลดน้ำหนักนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่ทางลัดอย่างการซื้ออาหารเสริมลดน้ำหนักมากินเองก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ดี เพราะไลฟ์สไตล์คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้ควบคุมอาหาร ซึ่งหากโชคร้ายผู้บริโภคอาจเจอกับอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ใส่สารต้องห้ามปะปนมาด้วยเป็นของแถม

6 หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่ต้องใช้ “ไซบูทรามีน”

ทำไม "ไซบูทรามีน" ถึงเป็นยาต้องห้าม?

ไซบูทรามีน  (Sibutramine) คือเคมีอินทรีย์ที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ไม่รู้สึกหิว และอิ่มเร็ว จึงเป็นที่นิยมในการลักลอบใส่ในอาหารเสริมลดน้ำหนัก

โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับคนที่กินยาที่มีส่วนผสมของไซบูทรามีน ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก ซึ่งยานี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิตได้ไม่ดี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ที่มีโรคต้อหิน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

สำหรับไซบูทรามีน จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 โดยได้ยกเลิกนำออกจากทะเบียนตำรับยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เนื่องจากมีรายงานถึงผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต

บทลงโทษ : การฝ่าฝืนมีโทษจำคุกและปรับทั้งผู้ขายถึงผู้บริโภค

ในอดีตประเทศไทยมียาไซบูทรามีนทางการค้าเพียงชื่อเดียวที่ได้รับขึ้นทะเบียนตำรับยา คือ รีดักทิล (Reductil) ชนิดแคปซูล 10 มิลลิกรัม และ 15 มิลลิกรัม ภายหลังมีการขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาโดยสมัครใจภายใต้คำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตั้งแต่ 11 ตุลาคม 2553 ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72(5) ผู้ใดผลิต ขาย หรือนำเข้ายาที่ทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิก จะต้องได้รับโทษตามมาตรา 120 วรรคสอง คือต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือมาตรา 120 วรรคสาม ถ้ากระทำโดยไม่รู้ว่าเป็นยาทะเบียนตำรับถูกยกเลิก ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท แล้วแต่กรณี

เนื่องจากไซบูทรามีนถูกยกระดับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561 ส่งผลให้ลงโทษผู้กระทำผิดที่นำไปผสมกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โทษคือผู้ใดที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสม จะต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี ปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ตามมาตรา 115 วรรคหนึ่ง ถ้าผลิตเพื่อขาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7-20 ปี และปรับตั้งแต่ 7 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาทตามมาตรา 115 วรรคสอง ผู้ใดขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ตามมาตรา 116 ผู้ใดครอบครองจะมีโทษจำคุก 1-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 140 รวมไปถึงผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 141

 

9 อันตรายจากไซบูทรามีน

  1. รู้สึกปากแห้ง คอแห้ง แม้จะกินน้ำก็ไม่หายรู้สึกปากแห้ง
  2. กินอาหารไม่อร่อย ไม่รู้รสชาติอาหารไม่อร่อย
  3. เวียนหัว คล้ายๆ คนมีอาการเมา
  4. ปวดหัว เพราะความดันโลหิตสูง
  5. รู้สึกคลื่นไส้มากๆ จนถึงขั้นอาเจียน
  6. ท้องผูก ระบบขับถ่ายรวน
  7. นอนไม่หลับ รู้สึกไม่สบายตัว
  8. เกิดอาการใจสั่น ใจเต้นเร็วผิดปกติ
  9. ปวดตัว รู้สึก ปวดแขน ปวดขา ปวดข้อ

6 หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่ต้องใช้ “ไซบูทรามีน”

เลือกอย่างไรเมื่อจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก?

ปัจจุบันพบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เช่น ยาลดความอ้วน สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อรักษารูปร่างนั้นเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในวัยรุ่นหญิงที่มีค่านิยมอยากผอม ด้วยมองว่าเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและมีประสิทธิภาพดี ซึ่งบางครั้งทำให้ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อและใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพในทางที่ผิด

“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค” หลายครั้งมีการใช้คำโฆษณาทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าสามารถป้องกันหรือรักษาโรคได้ ทั้งที่ อย. ไม่เคยอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์อาหารโฆษณาไปในทางลดน้ำหนัก ซึ่งที่ผ่านมามักพบผลิตภัณฑ์ลักลอบใส่ไซบูทรามีน ซึ่ง อย. ได้ยกเลิกทะเบียนยาออกไปแล้วเพราะเกิดผลข้างเคียงอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด จนอาจเสียชีวิตได้

ยาลดความอ้วน : เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์แล้วว่าเป็น “โรคอ้วน” มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน ร่วมกับแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถลดน้ำหนักได้ดี เช่น ลดปริมาณอาหารให้พลังงานสูงร่วมกับการออกกำลังกายเป็นเวลานาน 3–6 เดือนแล้วไม่เกิดผลการเปลี่ยนแปลง การใช้ยาลดความอ้วน ไม่ควรหาซื้อด้วยตนเองตามร้านขายยา ร้านเสริมสวย ร้านค้าออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต หรือคลินิกที่ไม่มีการตรวจของแพทย์ รวมถึงจากร้านค้าที่ลักลอบนำมาขาย เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ สำหรับสารหรือยาที่มักพบในชุดยาลดน้ำหนัก ได้แก่ กลุ่มแอมเฟตามีน ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ยาขับปัสสาวะ ยาถ่ายหรือยาระบาย และกลุ่มยานอนหลับ ดังนั้น กรณีจำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วนควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เท่านั้น

สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนัก : แนะนำให้ใช้การควบคุมน้ำหนักแบบธรรมชาติด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีเลขสารบบอาหาร อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์และข้อมูลโภชนาการจากฉลาก ไม่ควรเชื่อข้อมูลจากการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง หากพบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ Social Media: FDATHAI

6 หลักการลดน้ำหนักที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่ต้องใช้ “ไซบูทรามีน”

6 หลักการลดความอ้วนแบบถูกต้อง ปลอดภัย และยั่งยืน

  1. ลดไขมันในร่างกาย ไม่ใช่ลดแต่เพียงกล้ามเนื้อ 
  2. อย่าหยุดกินอาหาร เลือกกินสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่จากผักและผลไม้  
  3. ลดปริมาณอาหารหรือเปลี่ยนเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำ 
  4. หลีกเลี่ยงอาหารทอด ผัด และอาหารที่มีไขมัน
  5. อัตราการลดน้ำหนักที่เหมาะสมในระยะสั้น คือ ใน 1 สัปดาห์ ควรลดน้ำหนักให้ได้ 0.5 – 1 กิโลกรัม และใน 6 เดือน ควรลดให้ได้ 5 – 10% ของน้ำหนักตัวปัจจุบัน
  6. รักษาน้ำหนักตัวที่ลดลงให้คงที่ไปมากกว่า 1 ปี เพื่อการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน 

ทั้งนี้ การลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด คือควบคุมการรับประทานอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ