มนุษย์กับอาหารเป็นเรื่องที่ตัดจากกันไม่ได้ จึงเป็นปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ซึ่งต้นเหตุความหิวอาจเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ส่งผลให้ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) หรือฮอร์โมนควบคุมความอิ่มในร่างกายไม่สมดุล เกิดเป็นความเครียด ความเศร้า ใช้อาหารบำบัดความเครียด ทว่า การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องก็อาจกลับทำให้ร่างกายหิวมากขึ้นและหิวเร็วขึ้น
เช็กระดับความหิว
หลายครั้งที่เกิดความสับสนระหว่างความหิว และอาการกระหายน้ำ ความรู้สึกอยากทานอะไรสดชื่นๆ และจบลงที่ขนม หรือของว่างพลังงานสูง แต่ก็ยังไม่หายหิวอยู่ดี นั่นเป็นเพราะร่างกายอาจจะแค่กระหายน้ำไม่ได้หิวอย่างที่เข้าใจ
ถ้ามีอาการแบบนี้ แนะนำให้เริ่มจากการดื่มน้ำเปล่าก่อน ถ้าหากยังมีอาการหิว ค่อยหาอาหารมื้อหลักที่มีประโยชน์มารับประทาน หรือให้เลือกเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานต่ำมาดื่ม
อาหารบางประเภท รับประทานแล้วรู้สึกว่าอิ่มได้ไม่นาน เผลอแป๊บเดียวก็หิวอีกแล้ว ความหิวแบบนี้ มีสาเหตุมาจากอาหารที่ทานเข้าไปนั้นทำให้หิวมากขึ้น และหิวเร็วขึ้น เช่น อาการประเภทข้าว แป้งขาว น้ำตาล, อาหารที่มีโซเดียมสูง ฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยว, น้ำผลไม้ที่แยกกากใยออกจนหมด รวมถึง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ควบคุมความหิวได้ยากขึ้น
สำหรับสาวๆ อาการหิวที่มากกว่าปกติ อาจเป็นอาการของช่วงก่อนวันมีประจำเดือน (PMS) หรือ เป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังตั้งครรภ์ก็ได้ โดยในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีความต้องการอาหารมากขึ้น ทำให้หิวบ่อยขึ้น
นอกจากนี้ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ส่งผลต่อความหิวได้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า การนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลกับการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ตัวการควบคุมความหิว ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้มากขึ้น ในขณะที่ทำให้ระดับการหลั่งฮอร์โมนเลปติน (leptin) ที่ควบคุมความอิ่มลดลง
อาการหิวที่มากกว่าปกติ อาจเป็นอาการของโรคต่างๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรค Hypoglycaemia หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งโดยมากจะพบอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ใช้ อินซูลิน เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลต่ำจะส่งผลให้อยากอาหารมากขึ้น หิวหนักขึ้น หิวเร็วขึ้น หรืออาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ และหน้ามืดได้ นอกจากนี้ ความหิวอาจเป็นอาการของโรคไฮโปไทรอยด์ (Hypothyroidism) ได้ด้วย ถ้าหากมีอาการหิวโดยมีสาเหตุจากโรคเหล่านี้ แนะนำให้มาปรึกษาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
ความเครียดมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนควบคุมความอิ่ม (Leptin) และฮอร์โมนควบคุมความหิว (Ghrelin) ซึ่งร่างกายแต่ละคนจะมีการหลั่งฮอร์โมนไม่เท่ากัน
PMS (Premenstrual Syndrome) คืออาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือนราว 1 – 2 สัปดาห์ โดยสาเหตุของอาการนั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งอาการ PMS นี้ เป็นตัวการที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะส่งผลทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ
ก่อนวันนั้นของการมีประจำเดือนมักมีอาการแสดงให้รู้ตัว โดยสามารถแบ่งได้เป็นอาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม และอาการทางด้านร่างกาย ดังนี้
อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม ได้แก่ มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือโกรธง่าย มีความตึงเครียดและไม่มีสมาธิ มีอารมณ์เศร้า ร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ วิตกกังวล มีความต้องการหรืออยากอาหารมากกว่าปกติ มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม (Social Withdrawal) มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ (Insomnia)
อาการทางด้านร่างกาย ได้แก่ เจ็บเต้านม ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกหรือท้องเสีย น้ำหนักตัวเพิ่ม เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีสิวขึ้น
PMS รับมือหรือบรรเทาได้อย่างไร?
ในช่วงก่อนมีประจำเดือนเราสามารถปฏิบัติตัวเพื่อลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ เช่น ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดหรือหวานจัด พยายามอย่าเครียด นอนหลับให้เพียงพอ งดการดื่มเหล้า กาแฟ และชา เป็นต้น
โรคกินไม่หยุด Binge Eating Disorder (BED) คืออาการรับประทานอาหารปริมาณมากผิดปกติโดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ผู้ที่มีอาการโรคกินไม่หยุดนี้ มักมีการรับประทานอาหารปริมาณมากกว่าปกติแม้ไม่รู้สึกหิว และไม่สามารถควบคุมการรับประทานของตนเองได้
สาเหตุของโรคกินไม่หยุด ใครบ้างที่เข้าข่าย
สาเหตุของอาการโรคกินไม่หยุด ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด แต่คาดว่าอาจเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยเป็นตัวกระตุ้น โดยโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ เช่น
อาการของโรคกินไม่หยุด
สังเกตผู้มีอาการเสี่ยง “โรคกินไม่หยุด (BED)” มักมีพฤติกรรมเหล่านี้
กินไม่หยุดกับปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจตามมา
หากคุณมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ หรือโรคกินไม่หยุด อาจส่งผลให้คุณเป็นมีปัญหาสุขภาพหรือเป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
การรักษาโรคกินไม่หยุด
สำหรับการักษาโรคกินไม่หยุด แพทย์อาจเลือกวิธีการรักษาที่สอดคล้องกับอาการและสาเหตุของโรคมากที่สุด คือ การใช้ยา หรือ การเข้ารับจิตบำบัด หากท่านพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการเสี่ยง หรือเข้าข่ายอาการของโรคกินไม่หยุด (BED) สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี