svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

เชื่อหรือไม่ หลากรสชาติที่มนุษย์โปรดปรานกำลังถูกคุกคามเพราะการเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบโลกร้อนที่ใกล้ตัวเราเข้าไปทุกขณะ

เรื่องของ “ภาวะโลกร้อน” ก่อนหน้านี้เราอาจมองว่าไกลตัว ไม่ว่าจะไฟป่าในต่างประเทศ น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จนเราเริ่มเห็นภาพน้ำท่วม ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)  เรื่องของ “ภาวะโลกร้อน” จึงดูใกล้ตัวเรามากขึ้น ทว่า ยิ่งใกล้ตัวเข้ามาอีก เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้รสชาติอาหารที่หลายคนโปรดปรานเปลี่ยนไป เพราะความสัมพันธ์ที่ตัดขาดกันไม่ได้ ระหว่างอาหาร ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม

ในช่วงต้นปี ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดการประชุมสุดยอดผู้นำผ่านระบบออนไลน์ว่าด้วยการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2564 (The Climate Adaptation Summit – CAS) โดยมีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ภาคเอกชน และองค์กรที่รวบรวมและแบ่งปันข้อมูลเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์กว่า 3,000 คนจากมากกว่า 130 ประเทศลงนามในแถลงการณ์ทางวิทยาศาสตร์ และเรียกร้องให้ผู้นำโลกจากหลากหลายภาคส่วนลงมือเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะกระทบทุกคนได้ ดังเช่น การขาดแคลนน้ำ และการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตร

วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามต่ออาหารที่เราโปรดปราน 5 ชนิด

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

1. ข้าว

ตามรายงานโมเดลวิจัย พบว่าผลผลิตข้าวลดลงโดยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมา เช่น ผลผลิตข้าวสาลีลดลง 21.0% ข้าวบาเลย์ฤดูหนาวลดลง17.3% และ ข้าวบาร์เลย์ฤดูใบไม้ผลิลดลง33.6% วิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจทำให้กำลังการผลิตข้าวลดลงถึง 33.0% ขณะที่ 80% ของข้าวที่ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่บริโภคทุกวันถูกนำเข้ามาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิทยาศาสตร์ติดตามข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (the Intergovernmental Panel on Climate Change -IPCC) ที่ชี้ให้เห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูญเสียพื้นที่การเกษตร 1 ล้านเฮกตาร์ภายในศตวรรษนี้ เป็นผลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติปล่อยรายงาน ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุตสาหหรรมข้าวในเอเชีย : ความเกี่ยวโยงต่อนโยบายการค้า’ ซึ่งบ่งชี้ว่าไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียอาจเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หากประเทศเหล่านี้ไม่มีแผนการการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี การผลิตข้าวซึ่งต้องอาศัยปริมาณน้ำที่มากพอจะเผชิญกับการลดลงของผลผลิตถึง 50% ภายในปี 2643

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

2. แซลมอน และอาหารทะเล

การเปลี่ยงแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล อาหารทะเลที่ชาวฮ่องกงมากมายชอบอย่างแซลมอนก็ไม่ว่างเว้น แซลมอนอ่อนไหวต่อระดับออกซิเจนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น และทำให้ระดับการละลายออกซิเจนในน้ำต่ำลง เป็นภัยคุกคามชีวิตปลาแซลมอนโดยแท้

งานวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อทุกช่วงของวงจรชีวิตแซลมอน เช่น อุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นในแม่น้ำอาจส่งผลให้แซลมอนฟักตัวก่อนกำหนด จากนั้นแซลมอนที่คลอดก่อนกำหนดเหล่านี้ยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการหาอาหารได้ในเวลาที่มันว่ายน้ำจากแม่น้ำไปสู่ทะเล หรือมันอาจถูกปลาใหญ่กิน ท้ายที่สุดอัตราการผสมพันธุ์ของแซลมอนลดลง จำนวนประชากรแซลมอนอาจลดลงตามไปด้วย และอุปทานแซลมอนไปยังฮ่องกงจะคลาดแคลน

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

3. กาแฟ

ความหอมกรุ่นยามเช้าอาจหดหายไป เพราะเมล็ดกาแฟที่เป็นสินค้าสำคัญของโลก อ่อนไหวต่อสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน ความชื้น และแสงแดดล้วน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลต่อรสชาติของกาแฟทั้งสิ้น ในกาแฟป่า 124 ต้น 60% อาจสูญพันธุ์อันเนื่องมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมอย่างอะราบิก้า อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำให้พืชอ่อนแอต่อศัตรูพืชและโรค โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว สภาพอากาศสุดขั้วอาจทำลายต้นกาแฟก่อนที่กาแฟจะออกเมล็ดซะอีก ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจทำลายพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟกว่า 50% ภายในปี 2593 วิกฤตสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อการสุกของผลไม้ และทำให้เมล็ดสดแห้งช้าลง ทั้งยังทำให้พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกกาแฟอาจไม่มีอยู่อีกต่อไป

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

4. ไวน์

ตามรายงานการวิจัยของกรีซพีซสากลพบว่า ภาวะโลกร้อนผลักให้พื้นที่ที่เหมาะสมแก่การปลูกผลไม้ขยับไปสองขั้ว (ไม่ขยับไปทางเหนือก็ทางใต้) ในทางที่ไกลกว่าแหล่งกำเนิดของพืนชนิดนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ไวน์ที่ขณะนี้ถูกผลิตที่แคว้นบอร์โดในทางตอนใต้ของฝรั่งเศสจะต้องย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่สหราชอาณาจักร แชมเปญชื่อดังจากฝรั่งเศสและไวน์ขาวจากอัลซาสจะย้ายไปผลิตที่นอร์เวย์ในตอนเหนือของยุโรปแทน ในไม่ช้าก็เร็วพื้นที่ส่วนมากของฝรั่งเศสจะถูกใช้ผลิตไวน์แทนภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนในปัจจุบัน

ปัจจัยในแหล่งกำเนิดของผลไม้เช่น อุณหภูมิ และปริมาณน้ำฝนส่งผลกระทบต่อคุณภาพการผลิตองุ่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศนำมาซึ่งสภาพอากาศสุดขั้วส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปถึงความสมบูรณ์ ผลผลิต รสชาติขององุ่น และการผลิตไวน์ ในอนาคตแม้ว่าเราอาจซื้อไวน์จากสถานที่ใหม่ แต่มันอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงในรสชาติที่สัมผัสได้ รสชาติของไวน์ในปัจจุบันอาจไม่เหลืออยู่อีกต่อไป

ความอร่อยที่หายไป เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศทำรสชาติที่โปรดปรานเปลี่ยนไป

5. น้ำผึ้ง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการเติบโต และช่วงเวลาออกดอกของพืช ขณะที่สภาพอากาศสุดขั้วสามารถทำให้พืชที่กำลังออกดอกล้มลงด้วยพายุฝน หรือระงับการแตกช่อในฤดูหนาวอันอบอุ่น ผึ้งจะผสมเกสรไม่ทันช่วงเวลาที่ดอกไม้บาน ท้ายที่สุดประชากรของผึ้งจะลดลง

บางครั้งเราอาจคิดว่าน้ำผึ้งไม่ใช่แหล่งอาหารหลัก แต่ตัวเลขในปี 2563 เผยมูลค่าของอุตสาหกรรมน้ำผึ้งโลกที่ถูกประเมินว่าอยู่ที่ 92 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคงเป็นตัวเอกอย่าง “ผึ้ง” ผู้ที่รับบทบาทผู้ผสมเกสรที่สำคัญที่สุดในธรรมชาติ ฐานการเกษตรมากกว่า 14 ล้านแห่งทั่วโลก หรือนับเป็นสามในสี่แหล่งอาหารโลก (ประมาณ 577 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) ขึ้นอยู่กับการผสมเกสรของผึ้ง ในพืช 100 ชนิดซึ่งเป็นอาหาร 90% ของประชากรโลก 70% ถูกผสมเกสรโดยทั้งผึ้งเลี้ยงและผึ้งป่า

 

 

 

 

ที่มา : greenpeace