svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

มหาสมุทรร้อนขึ้น ทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตเย็นกว่าแต่อาหารน้อย 

04 สิงหาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

คำถามชวนให้ต้องฉุกคิด หากไม่มีฉลามในทะเลจะเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามจาก WWF เยอรมนี Heike Zidowitz เผยว่า การไม่มีฉลามในมหาสมุทรเป็นการสูญเสียที่น่าสะเทือนใจมากที่สุด มหาสมุทรที่ร้อนมากขึ้น ขึ้นทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตที่เย็นกว่าแต่อาหารน้อย 

นักวิทย์หวั่นใจ ฉลามเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการทำประมงที่เกินขนาด ทำให้อาหารของสัตว์ชนิดนี้น้อยลง ซึ่งเมื่อบวกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ที่ทำให้มหาสมุทรร้อนขึ้น จนส่งผลกับวิถีชีวิตของฉลามในหลายๆ เรื่อง ทั้งการกิน การหายใจ การสืบพันธุ์ ฯลฯ ทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าฉลามจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า 

มหาสมุทรร้อนขึ้น ทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตเย็นกว่าแต่อาหารน้อย 

อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้น้ำในมหาสมุทรร้อนขึ้น ด้วยวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนแบบนี้ทำให้มหาสมุทรเป็นกรดมากขึ้น ส่งผลให้สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่าง ฉลาม ย้ายไปในเขตทางเหนือที่มีน้ำที่เย็นกว่า แต่ก็มีอาหารที่น้อยกว่า เพราะทางเหนือซึ่งเป็นที่ที่เย็นกว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพน้อยกว่าเขตอุ่น นั่นหมายถึงมีอาหารให้ฉลามกินน้อยกว่า ซึ่งสร้างความเครียดให้ฉลาม

มหาสมุทรร้อนขึ้น ทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตเย็นกว่าแต่อาหารน้อย 

หากไม่มีฉลามในทะเลจะเป็นอย่างไร?

ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามจาก WWF เยอรมนี Heike Zidowitz เผยว่า

การไม่มีฉลามในมหาสมุทรเป็นการสูญเสียที่น่าสะเทือนใจที่สุด ไม่เพียงจะเกิดความไม่สมดุลของมหาสมุทร แต่ยังส่งผลกระทบกับระบบนิเวศอย่างมหาศาลอีกด้วย

นอกจากนี้ บรรดานักนิเวศสรีรวิทยาและนักชีวกลศาสตร์ Valentina Di Santo ยังเสริมอีกว่า

การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในมหาสมุทรส่งผลกับฉลามทั้งเรื่องการเจริญเติบโต การหายใจ การสืบพันธุ์ การย่อยอาหาร ซึ่งทำให้ฉลามโตเร็วขึ้น นั่นหมายความว่าความต้องการอาหารก็มากขึ้นตามไปด้วย

มหาสมุทรร้อนขึ้น ทำฉลามพฤติกรรมเปลี่ยน ย้ายถิ่นไปเขตเย็นกว่าแต่อาหารน้อย 

ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม กล่าวว่า 

การอนุรักษ์เพื่อปกป้องฉลามควรปรับตัวให้เร็วกกว่านี้ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น จะสามารถช่วยเหลือฉลามสัตว์ที่สำคัญกับระบบนิเวศของมหาสมุทรไว้ได้

ขอขอบคุณที่มา : CNN

logoline