svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

Global Warming : ภาวะโลกร้อน…ซ่อนโรคร้าย

03 มีนาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เมื่อปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนและวิกฤตต่างๆ ยังรวมถึงโรคร้ายที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นตามไปด้วย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนถึงมหันตภัยปรากฏการณ์ “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) หลายคนยังฟังเพียงผ่านๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อนก็ยิ่งพ่นพิษรุนแรงและลุกลามเพิ่มขึ้นที่เห็นได้ชัด คือภัยจากธรรมชาตินานัปการ และโรคภัยไข้เจ็บที่ลุกลาม

Global Warming : ภาวะโลกร้อน…ซ่อนโรคร้าย

ข้อมูลโดย ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร ภาควิชาอายุรศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ภาวะโลกร้อน เกิดจากการที่โลกมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ “ก๊าซเรือนกระจก” เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ผิดปกติขึ้น รวมทั้งก๊าซชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนาๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ หรือมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากการใช้น้ำมัน การปล่อยสารพิษ สารเคมี การตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น 

Global Warming : ภาวะโลกร้อน…ซ่อนโรคร้าย

นอกจากสภาวะอากาศที่นับวันจะแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว ทราบหรือไม่ว่าเมื่อเกิดสภาวะโลกร้อน สุขภาพร่างกายของเราก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งโรคยอดฮิตติดอันดับ ได้แก่

1. อหิวาตกโรค 

เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน เชื้อจะเข้าไปอยู่บริเวณลำไส้ และจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำ สีซาวข้าว ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว รุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

สาเหตุ เกิดจากการที่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว และมีการปนเปื้อนของเชื้อ
ระยะฟักตัว

1.  ผู้ที่ได้รับเชื้อ จะเกิดอาการได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงถึง 5 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะเกิดอาการภายใน 1-2 วัน
2.  กรณีไม่รุนแรง อาการจะหายภายใน 1 วัน หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง   แต่จำนวนอุจจาระไม่เกินวันละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมีปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน 
3.  กรณีอาการรุนแรง อาการระยะแรก มีท้องเดิน มีเนื้ออุจจาระมาก ต่อมามีลักษณะเป็นน้ำซาวข้าว เพราะว่ามีมูกมาก กลิ่นเหม็นคาว ถ่ายอุจจาระได้โดยไม่มีอาการปวดท้อง บางครั้งไหลพุ่งออกมาโดยไม่รู้สึกตัว อาเจียนโดยไม่รู้สึกคลื่นไส้ อุจจาระ ออกมากถึง 1ลิตรต่อชั่วโมง และจะหยุดเองใน 1 - 6 วัน หากได้น้ำและเกลือแร่ชดเชยอย่างเพียงพอ แต่ถ้าได้น้ำและ เกลือแร่ทดแทนไม่ทันกับที่เสียไป จะมีอาการขาดน้ำอย่างมาก ลุกนั่งไม่ไหว ปัสสาวะน้อย หรือไม่มีเลย อาจมีอาการเป็นลม หน้ามืด จนถึงช็อค ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอาการท้องเสีย
- งดอาหารรสจัด เผ็ดร้อน หรือของหมักดอง
- ดื่มน้ำชาแก่แทนน้ำ บางรายต้องงดอาหาร ชั่วคราวเพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้ 
- ดื่มน้ำเกลือผงสลับกับน้ำต้มสุก ถ้าเป็นเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์ ในกรณีที่ท้องเสียอย่างรุนแรง ต้องรีบนำส่งแพทย์ด่วน

การป้องกัน
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก ภาชนะที่ใส่อาหาร ควรล้างสะอาดทุกครั้งก่อนใช้ 
-  ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนกินอาหาร หรือก่อนปรุงอาหารและหลังเข้าส้วม
- ไม่เทอุจจาระ ปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง หรือทิ้งเรี่ยราด ต้องถ่ายลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และกำจัด สิ่งปฏิกูลโดยการเผาหรือฝังดิน เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค 
-  ระวังไม่ให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในลำคลอง 
-  หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค

     Global Warming : ภาวะโลกร้อน…ซ่อนโรคร้าย

2. โรคไข้เลือดออก 
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย Aedes aegypti ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูงจากเชื้อไวรัสแดงกี โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไข้เลือดออก
อาการแรกเริ่ม จะรู้สึกว่ามีไข้สูงเฉียบพลัน ถึง 38 - 40 องศาเซลเซียส อยู่ 2 - 7 วัน บางรายจะมีจุดเลือดสีแดงๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา และมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและหลังหรือปวดหัวพร้อม ๆ กันกับไข้สูง อาเจียนเป็นเลือดหรืออุจจาระเป็นสีดำ บางราย อาจมีอาการช็อค ซึม ตัวเย็นจนถึงอาการหนักมากไม่รู้สึกตัว หมดสติและถึงกับเสียชีวิตได้

การดูแลรักษา

  • เมื่อเริ่มเป็นไข้เลือดออก มีอาการไข้สูง ต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้
  • จำเป็นต้องใช้ยา ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ห้าแต่ห้ามใช้ยาจำพวกแอสไพริน เพราะแอสไพรินจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • ถ้ามีอาการเพลียให้ ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ
  • หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

วิธีป้องกัน

- ระวังอย่าให้ยุงกัดในตอนกลางวัน ซึ่งป้องกันได้ด้วยการนอนในมุ้ง 
- ช่วยกันกำจัดลูกน้ำ และลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใส่ปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง
- ในภาชนะเก็บน้ำที่ปิดฝาไม่ได้ ควรใส่ทรายกำจัดลูกน้ำทุก 1 - 2 เดือน สำหรับตุ่มน้ำที่ไม่ค่อยได้เปิดบ่อย ๆ ควรปิดด้วยตาข่ายผ้าหรือไนล่อน 2 ชั้น
- เก็บทำลายภาชนะที่มีน้ำขังหรือไม่ใช้ประโยชน์แล้ว เช่น ฝัง เผา หรือดัดแปลงนำมาใช้ประโยชน์

Global Warming : ภาวะโลกร้อน…ซ่อนโรคร้าย

3. โรคอาหารเป็นพิษ

มีสาเหตุสำคัญจากการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในอาหาร โดยเฉพาะในสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น นั่นหมายถึงจะส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตเร็วตามไปด้วย และยิ่งถ้าหากเชื้อแบคทีเรียอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตก็จะสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและผลิตสารพิษ ได้อย่างรวดเร็วจนมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดอาการป่วย เช่น ถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ บางรายอาจมีอาการลำไส้อักเสบ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย

อาหารที่มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษในประเทศไทย 

- อาหารทะเลปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรืออาหารทะเลซึ่งกินโดยไม่ผ่านการปรุงให้สุก (โดยเฉพาะที่บีบมะนาวใส่ โดยที่เข้าใจว่าอาหารเหล่านี้สุกเพราะสีของเนื้อ เหล่านี้จะเปลี่ยนไปเหมือนเนื้อที่สุกแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด) 

- อาหารไม่มีการผ่านความร้อน ประเภทปรุงเสร็จแล้วโดยไม่มีการผ่านความร้อนก่อนบริโภค เช่น อาหารยำ ส้มตำ สลัด น้ำราดหน้าชนิดต่าง ๆ 

- อาหารค้าง เช่น เนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก ซาลาเปาไส้ต่าง ๆ ถ้าจะเก็บไว้รับประทานในมื้อต่อ ๆ ไปควรเก็บในตู้เย็น เมื่อจะนำมารับประทานต้องอุ่นให้ร้อนจัดอีกครั้ง เพื่อฆ่าเชื้อ จุลินทรีย์ที่ยังเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์

แต่ถ้ามีอาการท้องเสียมากๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำ และเกลือแร่ บางรายอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิด โลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิด จะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เมื่อเป็นแล้วควรทำอย่างไร

รักษาแบบอาการท้องเดินทั่ว ๆ ไป เช่น  ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสีย น้ำและเกลือแร่  อาการท้องเดินมักหายได้เองภายใน 1- 2 วัน  ถ้าท้องเสียหรืออาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือมีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่น ๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

ข้อสำคัญ 

อย่ากินยาแก้ท้องเดินเอง เพราะอาการท้องเดินส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง ขอให้เข้าใจว่าการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกายอยู่แล้ว


5 วิธีง่ายๆ รับมืออาหารเป็นพิษ
-  ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร 
-  ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง 
-  หลีกเลี่ยงการกินอาหาร หรือขนมค้างคืนที่ผสมกะทิ 
 -  ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล (ควรแช่ด่างทับทิมทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)  
-  ไม่ควรทิ้งเนื้อสดๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อน จะเร่งให้แบคทีเรีย เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

ขอฝากทิ้งท้ายถึงทุกคนว่า “ภาวะโลกร้อน” แม้จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “มนุษย์” คือตัวแปรที่สำคัญ มาช่วยกันรักษาสมดุลธรรมชาติ เริ่มที่ตัวคุณและถ่ายทอดไปยังบุตรหลาน และสมาชิกในครอบครัว เพียงเท่านี้ก็ช่วยโลกให้น่าอยู่แล้ว

logoline