อินเทล (Intel) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ เมื่อวันพฤหัสบดี (1 สิงหาคม) ว่าจะปลดพนักงานราว 15,000 คน หรือ 15% ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนลดต้นทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2568
การประกาศมีขึ้นหลังจากบริษัทรายงานว่า ประสบปัญหาขาดทุน 1,600 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน เมื่อเทียบกับรายงานผลกำไร 1,500 ล้านในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ลดลง 1% เหลือเพียง 12,800 ล้านดอลาร์ และคาดว่า รายได้จะอยู่ที่ราว 12,500-13,500 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
แพต เกลซิงเกอร์ ซีอีโอของอินเทล ระบุในบันทึกช่วยจำที่แจ้งต่อพนักงานว่า บริษัทจำเป็นต้องปรับโครงสร้างต้นทุน ควบคู่กับการประกอบการรูปแบบใหม่ และการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานระดับพื้นฐาน โดยเขาให้เหตุผลว่า รายได้ไม่เติบโตตามที่คาดไว้ และยังไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสที่เฟื่องฟูอย่าง AI บวกกับต้นทุนที่สูงเกินไป และกำไรที่ต่ำเกินไป
ข่าวแผนการเลิกจ้างพนักงานทำให้หุ้นของอิสเทลดิ่งลงอย่างแรงถึง 20% ทำให้คาดว่ามูลค่าตลาดจะหายไปกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อตลาดหุ้นเปิดซื้อขายอีกครั้งในวันนี้
ครั้งหนึ่งอินเทลเคยเป็นผู้นำในตลาดชิป ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ใช้ในทุกสิ่ง ตั้งแต่ แล็ปท็อป จนถึงศูนย์ข้อมูล แต่ตอนนี้กำลังพยายามก้าวตามให้ทันคู่แข่งอย่าง Nvidia และAMD ท่ามกลางการเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
อย่างไรก็ตามบริษัทได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่พยายามลดการพึ่งพาผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชีย และเมื่อเดือนมีนาคมประกาศจะให้การสนับสนุนทั้งเงินกู้และเงินให้เปล่ารวม 19,500 ล้านดอลลาร์แก่อินเทล เพื่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในรัฐแอริโซนา, เนวาดา, โอไฮโอ และนิวเม็กซิโก