
กระแสน้ำเชี่ยวกรากและน้ำท่วมฉับพลันสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก โดยสะพาน 11 แห่งพังถล่ม และถนนหลายสายถูกตัดขาด และมีผู้สูญหาย 102 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นทหาร 22 นาย นอกจากนี้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และผู้บาดเจ็บ 26 ราย ประชาชนกว่า 2,000 คนได้รับการอพยพออกจากพื้นที่ รวมทั้งมีผู้ได้รับผลกระทบอีกกว่า 22,000 คน และคาดว่า มีนักท่องเที่ยวกว่า 3,000 คน ติดค้างในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วรัฐสิกขิม ที่เป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยม
กองทัพ เปิดเผยว่า ปฏิบัติการค้นหากู้ภัยมีอุปสรรคจากฝนตกอย่างต่อเนื่อง และน้ำท่วมทำให้ถนนตัดขาดและสะพานพังทลาย
นอกจากนี้พื้นที่ตอนเหนือของรัฐเบงกอลตะวันตกที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำไหลเชี่ยวจากแม่น้ำทีสตาเข้าท่วมหลายเขต เจ้าหน้าที่ช่วยอพยพประชาชนราว 10,000 คนไปยังศูนย์พักพิง
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเตือนอาจเกิดดินถล่ม เนื่องจากคาดว่ายังอาจมีฝนตกอีก 2 วันในรัฐสิกขิม และรัฐใกล้เคียง ขณะที่รัฐสิกขิมถูกตัดขาดจากรัฐเบงกอลตะวันตก เนื่องจากทางหลวงสายหลักได้รับความเสียหาย
ทะเลสาบโลนักเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มีลักษณะคล้ายรูปกระสุนในบริเวณธารน้ำแข็ง โดยอยู่ตรงด้านล่างของธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย และจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทีย เผยให้เห็นว่า ปริมาณน้ำมากกว่า 60% จากทะเลสาบไหลทะลัก หลังฝนถล่มทำให้ทะเลสาบแตก โดยภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อวันที่ 28 กันยายน เผยให้เห็นว่า ทะเลสาบมีผืนน้ำกว้างเกือบ 167.4 เฮกตาร์ และในวันที่ 4 ตุลาคม ทะเลสาบมีผืนน้ำลดลงเหลือเพียงเกือบ 60.3 เฮกตาร์
นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาเกี่ยวกับทะเลสาบโลนักมานานแล้ว และระบุว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบธารน้ำแข็งที่มีน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดทะเลสาบธารน้ำแข็งแตก ซึ่งจะสร้างความหายนะอย่างมากในพื้นที่ปลายน้ำ และอาจเกิดการสูญเสียชีวิตละทรัพย์สิน