
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 นับจากการเลือกตั้งที่จัดโดยสหประชาชาติในปี 2536 และมีจำนวนผู้ใช้สิทธิ 84.58% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 9,710,655 คน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดแทนที่ 80.32% ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นเมื่อปี 2565 ส่วนผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการคาดว่าจะประกาศได้ช่วงวันที่ 9 สิงหาคม-4 กันยายน ที่จะทำให้ทราบว่า พรรคใดได้ที่นั่งจำนวนเท่าใด
และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังปิดหน่วยเลือกตั้ง พรรค CPP ก็ประกาศชัยชนะ ที่คาดว่า ได้รับคะแนนเสียงถล่มทลาย ขณะที่มีรายงานบัตรเสียค่อนข้างสูงในบางหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งอาจเป็นหนทางเดียวที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการแสดงออกเพื่อสนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน
มู โซชัว อดีตรัฐมนตรีที่ลี้ภัยในต่างประเทศ และอดีตสมาชิกของพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ที่ถูกศาลยุบพรรคเมื่อปี 2560 กล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่า เราอาจเรียกว่าเป็นการเลือกตั้งที่น่าอัปยศ (sham election)” และ “เราควรเรียกว่า การคัดเลือก (selection)” สำหรับฮุน เซน ที่จะทำให้มั่นใจว่า พรรคของเขาจะเลือกลูกชายเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เพื่อสืบต่ออำนาจของตระกูลฮุน
อย่างไรก็ตามมีสัญญาณของความกังวลของพรรค CPP เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยมีการผ่านกฎหมายอย่างรีบเร่ง เพื่อกำหนดบทลงโทษอาญาต่อการปลุกปั่นให้ทำบัตรเสียหรือบอยคอตต์การเลือกตั้ง และสมาชิกบางคนของพรรคแสงเทียน (CLP) ที่เป็นพรรคฝ่ายสำคัญพรรคแต่ถูกตัดสิทธิส่งผู้สมัครเลือกตั้งถูกจับกุม
อู วิรัก ผู้ก่อตั้งองค์กร “Future Forum” กล่าวว่า เหตุผลที่พรรค CPP ยังพยายามหาเสียงอย่างหนัก แม้ไม่มีคู่แข่งที่แท้จริง เพราะรู้ดีว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะชนะการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องยากกว่าที่จะได้รับความชอบธรรม จึงจำเป็นต้องทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอ ขณะเดียวกันก็ทำให้ประชาชนพอใจ จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดและอุปสรรคซ้ำรอยอดีตอย่าง การประท้วงบนท้องถนน
และคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีความทรงจำในยุคสงครามหรือยุคเขมรแดง มองว่า ประเด็นหาเสียงเดิม ๆ ของ CPP ที่นำพาสันติภาพมาสู่ประเทศเป็นเรื่องน่าเบื่อ และไม่ค่อยได้ผล
ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า ฮุน มาเนต จะปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นผู้นำประเทศที่โอนอ่อนลงและมีความละเอียดอ่อนมากขึ้นกว่าพ่อได้หรือไม่ แม้เขาจบการศึกษาจากต่างประเทศ อยู่ในกองทัพมานานหลายปี และมีการเตรียมตัวเข้าสู่การเมืองมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยรับตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงมาก่อน
ขณะเดียวกันลูก ๆ ของบรรดาแกนนำคนสำคัญในรัฐบาลของฮุน เซน อย่าง เตีย บันห์ รัฐมนตรีกลาโหม และ ซาร์ เข่ง รัฐมนตรีมหาดไทย ได้รับการคาดหมายว่า อาจขึ้นมาแทนที่พอในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ด้วย ซึ่งเป็นการสืบทอดอำนาจของตระกูลเดิม แต่อยู่ในมือของผู้ที่ยังอ่อนประสบการณ์ ดังนั้นหลายปีต่อจากนี้จึงอาจเป็นช่วงเวลาอันตรายและเปราะบางของกัมพูชา