โฆษกสภาความมั่นคงแห่งของชาติสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี กองทัพยูเครนเริ่มใช้ระเบิดลูกปราย หรือ คลัสเตอร์บอมบ์ ที่ได้รับมอบจากสหรัฐฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ และรัฐบาลได้รับรายงานเบื้องต้นจากฝ่ายูเครนว่า สามารถใช้ระเบิดดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำลายแนวป้องกันของฝ่ายรัสเซียได้
คลัสเตอร์บอมบ์ ซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามในกว่า 100 ประเทศ เป็นอาวุธที่ปล่อยระเบิดลูกเล็ก ๆ ออกมาจำนวนมาก ระเบิดมีประสิทธิภาพในการใช้จัดการกับทหารที่หลบอยู่ในสนามเพลาะและป้อม เนื่องจากระเบิดลูกเล็ก ๆ สามารถกระจายและสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง แต่ระเบิดบางส่วนอาจไม่ระเบิดทันที ทำให้มีความเสี่ยงอันตรายต่อพลเรือนได้นานหลายปี
สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งระเบิดลูกปรายดังกล่าวให้ยูเครน หลังได้รับคำสัญญาว่าจะใช้ในการขับไล่กองทหารรัสเซียเท่านั้น แต่ชาติพันธมิตร อย่าง อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และสเปน ต่างไม่เห็นด้วย และยังมีเสียงขู่จากรัสเซียว่า หากยูเครนใช้ระเบิดลูกปรายเมื่อใด รัสเซียก็จะใช้ด้วยอาวุธชนิดนี้ด้วยเช่นกัน แต่สื่อรายงานด้วยว่า รัสเซียใช้อาวุธชนิดนี้ในยูเครน หลังจากเริ่มเปิดฉากสงครามเมื่อต้นปีที่แล้ว
อนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2553 และมี 123 ประเทศให้สัตยาบันรับรอง กำหนดห้ามใช้ ผลิต ถ่ายโอน หรือ สั่งสมอาวุธชนิดนี้ และต้องทำลายอาวุธดังกล่าวที่อยู่ในคลังแสง แต่ทั้งสหรัฐฯ รัสเซีย และยูเครนไม่ได้ลงนามเป็นภาคีสมาชิก
สหรัฐฯ ตัดสินใจส่งระเบิดลูกปรายให้ยูเครน หลังยูเครนเตือนว่า เครื่องกระสุนกำลังจะหมดในขณะที่ปฏิบัติการโจมตีกลับช่วงฤดูร้อน รุกคืบได้ช้าและเกิดความสูญเสียมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้
ขณะเดียวกันโจเซป บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) แถลงในวันพฤหัสบดีว่า อียูกำลังวางแผนจัดตั้งกองทุนมูลค่า 20,000 ล้านยูโร หรือ22,000 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดหาอาวุธ เครื่องกระสุน และความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน ในการสู้รบกับกองทัพรัสเซีย โดยอียูต้องการเปลี่ยนจากการสนับสนุนที่มีอยู่เป็นความช่วยเหลือด้านความมั่นคงระยะยาว และกองทุนดังกล่าวจะจัดสรรความช่วยเหลือให้ปีละ 5,000 ล้านยูโรในช่วงเวลา 4 ปี
แต่อียูยังต้องหารือรายละเอียดเรื่องกองทุนดังกล่าวในการประชุมที่สเปนในวันที่ 31 สิงหาคม และสมาชิกบางประเทศ โดยเฉพาะ ฮังการรี คัดค้านเรื่องนี้
หลังจากยูเครนผิดหวังที่ชาติพันธมิตรไม่ยอมกำหนดกรอบเวลาที่จะให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ชาติตะวันตกย้ำว่าจะให้ความช่วยเหลือยูเครนมากขึ้นเพื่อเพิ่มความได้เปรียบทางทหารเหนือกองทัพรัสเซีย