
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ต้องรับฟังเสียงโห่ที่ดังมาจากรอบทิศ ในระหว่างร่วมขบวนพาหรดฉลองวันชาติ (Bastille Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม โดยผู้นำฝรั่งเศส ซึ่งอยู่บนรถทหารได้โบกมือให้ฝูงชนขณะที่เคลื่อนไปบนถนนฌ็องเซลิเซ่ (Champs Elysees) ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังเกิดจลาจลที่สั่นคลอนประเทศ ทำให้ต้องวางกำลังตำรวจมากกว่า 100,000 นาย ทั่วประเทศ เพื่อรับมือกับความรุนแรง
วันชาติฝรั่งเศสมีต้นกำเนิดจากการที่ฝูงชนที่โกรธแค้น พากันบุกไปที่คุกบาสตีย์ (Bastille) ซึ่งใช้เป็นที่ขังนักโทษการเมือง เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1789 นำไปสู่เหตุการณ์การทลายคุกบาสตีลย์ (Fall of the Bastille) ซึ่งต่อมาถือเป็นวันเริ่มต้นเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส และเป็นวันชาติฝรั่งเศสในปัจจุบัน
มาครงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ลงนามกฎหมายขยายเวลาเกษียณอายุ ที่ทำให้เกิดการประท้วงที่กลายเป็นการจลาจลติดต่อกันหลายเดือนทั่วประเทศ และในขณะที่การประท้วงครั้งแรกเพิ่งจะซาก็เกิดการจลาจลซ้ำ หลังจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นเชื้อสายแอลจีเรียวัย 17 ปี ชื่อ นาเฮล มาร์ซุก ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมายจราจร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ทำให้รัฐบาลห้ามการจุดประทัดฉลองเพื่อยับยั้งความรุนแรงบนท้องถนน
การร่วมขบวนพาเหรดปีนี้ มาครงยืนอยู่บนรถทหารตามด้วยขบวนรถ, ทหารและทหารม้า ท่ามกลางเสียงโห่ของฝูงชน ตอกย้ำว่าการติดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้สร้างความเสียหายและกระทบคะแนนนิยมของเขาอย่างรุนแรง อีกทั้งยังสร้างความเสียหน้าเพราะเกิดขึ้นในระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ซึ่งทหารอินเดียยังร่วมเดินสวนสนามกับทหารฝรั่งเศสที่ฌ็องเซลิเซ่ด้วย ซึ่งโมดีได้ชื่อว่าเป็นทั้งแขกและผู้สังเกตการณ์ที่สำคัญ เนื่องจากการเยือนครั้งนี้จะมีการลงนามในข้อตกลงด้านการทหารที่สำคัญด้วย