
เหตุการณ์ที่ตำรวจฝรั่งเศสวิสามัญ "นาเฮล เมอร์ซูค" (Nahel Merzouk) ชาวแอลจีเรียวัย 17 ปี เพราะทำผิดกฎจราจร ได้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่สั่นคลอนตำแหน่งของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เพราะเหตุจลาจลที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นวิกฤตที่ท้าทายเขาที่สุด ในขณะพยายามประคับประคองรัฐนาวาสมัยที่ 2 ให้ไปตลอดรอดฝั่ง
นับเป็นการเผชิญวิกฤตการประท้วงครั้งที่ 3 ของมาครง นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2560 โดยเมื่อต้นปี เขาเพิ่งจะเผชิญการประท้วงกฎหมายปฏิรูปบำนาญ ที่ขยายระยะเวลาการเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี แต่การประท้วงได้สิ้นสุดลง หลังจากมาครงรีบลงนามกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญรับรอง ตั้งแต่เช้าวันเสาร์ (15 เมษายน 2566) ทำให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย และมาครงก็เตรียมตัวสร้างเกียรติประวัติให้ตัวเองในฐานะ "ผู้ไกล่เกลี่ยหมายเลข 1" ของยุโรป ในวิกฤตสงครามยูเครน
แต่ภาพร้านค้าที่ถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย รถบัสโดยสารถูกเผาวอดทั่วประเทศ กลายเป็นขวากหนามที่เป็นอุปสรรคในการผงาดบนเวทีโลกของมาครง ที่ต้องการมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยวิกฤตสงครามยูเครน เหตุประท้วงที่กลายเป็นจลาจลเริ่มตั้งแต่วันอังคาร (27 มิถุนายน 2566) และต่อเนื่องจนถึงวันเสาร์ (1 มิถุนายน 2566) ทำให้มาครงต้องยกเลิกการเยือนเยอรมนี ซึ่งเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำฝรั่งเศส ในรอบ 23 ปี
ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้มาครงต้องเสียหน้า เมื่อพระเจ้าชาร์ลสที่ 3 ทรงต้องยกเลิกการเยือนการเยือนฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ทรงมีหมายกำหนดการเยือน ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร แต่การประท้วงบำนาญที่รุนแรงทำให้ต้องยกเลิกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาครงต้องลดเวลาการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม เพื่อรีบกลับไปเป็นประธานการประชุมรับมือวิกฤตการประท้วงที่ทำเนียบปาแล-เดอ-เลลีเซ (Palais de l'Elysee) โดยไม่มีการแถลงข่าว
ย้อนกลับไปสมัยแรกที่มาครงดำรงตำแหน่ง เขาก็เผชิญกับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง (Mouvement des Gilets jaunes) เมื่อปี 2561 ที่เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง, ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนต่อต้านนโยบายขึ้นภาษีน้ำมัน(Carbon Tax) ทำให้ผู้ใช้รถยนต์และเกษตรกร ต้องแบกรับภาระราคาน้ำมันที่แพงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา
บรูโน เคาเทรส นักวิจัยของศูนย์วิจัยการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยซียอง โป (Centre for Political Research of Sciences Po university) ในกรุงปารีส ให้ความเห็นว่า เหตุจลาจลเป็นข่าวร้ายของประธานาธิบดี ที่หวังจะให้เส้นทางไปสู่ฤดูร้อนราบรื่น แม้จะมีการปรับ ครม. เพื่อเพิ่มศักยภาพให้รัฐบาล และก้าวต่อไปข้างหน้าหลังเผชิญวิกฤตบำนาญ เคาเทรสบอกว่า
"ผู้คนพากันประหลาดใจ ที่เห็นว่าประเทศของเราเผชิญความตึงเครียด, ความรุนแรงและวิกฤตต่าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า มาได้อย่างไร"
เขายังเตือนด้วยว่า
"ไม่มีผู้นำคนไหนกล้าเสี่ยง ที่จะปล่อยให้เกิดสถานการณ์ที่ลุกเป็นไฟแบบเดียวกันนี้อีก ในระยะไม่กี่เดือนข้างหน้า"
เหตุจลาจลเกิดขึ้น หลังจากมาครงเพิ่งจะไปเยือนเมืองมาร์กเซยได้แค่ 3 วัน เพื่อจัดการปัญหา "พื้นที่ด้อยโอกาสที่สุด" ของฝรั่งเศส เขายังตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ ที่ไปชมคอนเสิร์ตอำลาของนักร้องดังชาวอังกฤษ "เอลตัน จอห์น" ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเกิดจลาจล แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับมาครง เปิดเผยว่า หลังการประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมโควิด-19 ตามด้วยการประท้วงของกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง และสงครามยูเครน ไม่มีเวลาให้มาครงได้พัก ในขณะที่โลกกำลังจับตามองหายนะที่เกิดขึ้น ตามเมืองใหญ่ที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอย่างปารีสและลียง ในขณะที่ฝรั่งเศสกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ฌอง ยาร์ฮิคส์ นักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมือง ให้ความเห็นว่า มาครงจะถูกตัดสินจากความสามารถของเขาในการบรรเทาตึงเครียด ซึ่งอันตรายสำหรับเขาคือการดูอ่อนแอและไม่เด็ดขาด