วันที่ 1 มิถุนายน 2566 คือกำหนดเส้นตายที่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต กับเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นคนของพรรครีพับลิกัน จะต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ (US debt ceiling) ของรัฐบาล ท่ามกลางเสียงเตือนว่าถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ (debt default) ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ อาจรุนแรงถึงขั้นที่ฉุดให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามเยอรมนี และอาจจะลุกลามกระทบกระเทือนไปทั่วโลก
สหรัฐฯ มีกฎหมายที่กำหนดให้มี "เพดานหนี้" เอาไว้ ซึ่งก็คือขีดจำกัดที่บ่งชี้ว่า กระทรวงการคลังในนามของรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถก่อหนี้ได้เต็มที่เป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อฝ่ายบริหารก่อหนี้จนเต็มเพดานที่กำหนดไว้ ก็ต้องหารือกับรัฐสภาเพื่อขยายเพดานหนี้ให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อให้สามารถกู้เงินมารองรับ "ค่าใช้จ่าย" ของรัฐบาลได้ ซึ่งหมายถึงว่าในสถานการณ์ล่าสุด รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มเพดานหนี้ให้สูงกว่าระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน และรัฐบาลของไบเดนก็ก่อหนี้จนเต็มเพดานไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2566
คาดว่าปัจจัยที่ทำให้การเจรจาของไบเดนกับแมคคาร์ธียืดเยื้อ เป็นเพราะรีพับลิกันต้องการให้รัฐบาลลดค่าใช้จ่ายลง แต่ก็คาดว่าจะไม่ปล่อยให้สถานการณ์ไปถึงขั้นนั้น เพราะก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ของ Moody's Analytics ได้วิเคราะห์ไว้ว่า ถ้ามีการผิดนัดชำระหนี้ เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะดิ่งลง ตำแหน่งงานจะหายไป 7.8 ล้าน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะพุ่งสูง อัตราการว่างงานจะเพิ่มจากระดับ 3.4% ไปถึงระดับ 8% และส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของครัวเรือนที่จะหายไปเป็นมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์
กรณีที่เลวร้ายที่สุดถ้าเกิดการผิดนัดชำระหนี้ยาวนานเกิน 3 เดือน จะมีคนต้องตกงานมากถึง 8.3 ล้านคน, หุ้นใน Wall Steet จะหายไป 45% , เงินออม, เงินบำเหน็จและเงินบำนาญ ที่ลงทุนอยู่ในตลาดจะหายไปหมด คนทำงานจะเผชิญอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูง เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย จากราว 3% เมื่อปีที่แล้ว เป็น 6.4%
ที่ผ่านมาผู้นำฝ่ายเมืองของสหรัฐฯ มักจะเอาตัวรอดจากการผิดนัดชำระหนี้ และปรับขึ้นเพดานหนี้ได้ทันท่วงที โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 เป็นต้นมา สภาคองเกรสส์ได้ปรับแก้, ปรับขึ้นและขยายกรอบเพดานหนี้มาแล้ว 78 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือในปี 2564