กระทรวงการคลัง (Treasury) ธนาคารกลาง (Federal Reserve) และบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ FDIC (Federal Deposit Insurance Corporation) ออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวันทิตย์ (12 มีนาคม) สั่งปิด "ธนาคารซิกเนเจอร์" (Signature Bank) ในนครนิวยอร์ก ที่มีบริษัทอุตสาหกรรมคริปโตเป็นลูกค้ามากที่สุด และได้ทำการพิทักษ์ทรัพย์ของธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตภาคการธนาคารลุกลามออกไป และนับเป็นการล่มสลายของธนาคารแห่งที่ 3 ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ที่เริ่มตั้งแต่ ธนาคารซิลเวอร์เกต (Silvergate Bank) ตามด้วยธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (Silicon Valley Bank)
แถลงการณ์ ยืนยันว่า บุคคลและนิติบุคคลที่มีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารซิกเนเจอร์ และธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ ทุกรายจะสามารถเข้าถึงเงินฝากของตนได้อย่างเต็มจำนวนตั้งแต่วันจันทร์ (13 มี.ค.) หลังลูกค้าและนักลงทุนเกิดความวิตกต่อสถานการณ์ของซิลิคอน แวลลีย์ เนื่องจาก FDIC ช่วยรับประกันเงินฝากด้วยวงเงินสูงสุด 250,000 ดอลลาร์ แต่พบว่า วงเงินที่บุคคลและนิติบุคคลฝากเงินไว้กับซิลิคอน แวลลีย์ มากเกินวงเงินที่รับประกัน สร้างความวิตกว่า บุคคลหรือนิติบุคคลเหล่านี้ อาจได้เงินฝากคืนไม่ครบตามจำนวน
นอกจากนี้แถลงการณ์ของกระทรวงการคลัง ธนาคารกลาง และ FDIC ยืนยันว่า จะไม่มีการจัดสรรเงินช่วยเหลือเพื่อพยุงกิจการของ SVB และผู้เสียภาษีไม่ต้องแบกรับรายจ่ายใด ๆ จากมาตรการคุ้มครองเงินฝากของลูกค้า
ธนาคารกลางจะจัดตั้งโครงการ "Bank Term Funding Program” เพื่อปกป้องสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ได้ให้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ SVB ธนาคารที่ใหญ่อันดับ 16 ของสหรัฐฯ
นักลงทุนในตลาดหุ้นโล่งใจกับมาตรการแทรกแซงจากรัฐบาล ทำให้หุ้นพากันปรับตัวสูงขึ้นในคืนวันอาทิตย์ หลังจากร่วงกว่า 3% ช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เนื่องจากวิตกว่าจะมีธนาคารล้มเพิ่มมากขึ้นและสร้างความเสี่ยงอย่างเป็นระบบต่ออุตสาหกรรมไฮเทค