svasdssvasds
เนชั่นทีวี

บันเทิง

เปิดมุมมองความรัก ชีวิตการทำงานของ "โอ๊ต ปราโมทย์" ในวันที่โตขึ้น (มีคลิป)

17 ธันวาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

“Exclusive Talk” วันนี้พบกับนักร้องแถวหน้าของวงการบันเทิงไทย “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” เจ้าของบทเพลงฮิต "ที่รัก", "สิ่งดีๆ", "เมื่อวาน", "มีแฟนแล้ว feat. UrboyTJ" ด้วยบุคลิกที่พูดคุยสนุกสนานเป็นกันเอง ทำให้หลายคนหลงรักผู้ชายคนนี้

สำหรับบทบาทล่าสุดขึ้นแท่นป๋าดัน ส่งศิลปินภายใต้การดูแลของ “โคตรคูล มิวสิค” วันนี้เป็นโอกาสดีดีที่จะได้พูดคุยกับนายห้างคนดังแบบเป็นกันเอง

พูดถึง “แชมป์ norman” เจ้าของซิงเกิล “Plan B” จากเด็กในบริษัท ทำไมถึงผลักดันให้เป็นศิลปิน ?

“ผมว่าถ้าหลายคนติดตามโคตรคูลมาตั้งแต่แรก น่าจะเห็นวิวัฒนาการของแชมป์ สำหรับแชมป์ถ้าจะนับจริงๆ ถือว่าเป็นพนักงานคนที่สองต่อจากเลขา ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์เข้ามาทำงาน เราเห็นว่าน้องเล่นดนตรีกลางคืน ตอนที่มาสมัครยังบอกไปว่าอย่าเลิกเล่นดนตรีตอนกลางคืนนะ ให้เล่นไปก่อน ทำงานไปสองจ็อบ ทำงานกับเราด้วยแล้วร้องเพลงไปด้วย เพราะสามารถทำควบคู่กันไปได้ ผมคิดว่าตัวเองผมก็เคยได้รับโอกาสมาก่อน การให้โอกาสคนสำคัญสำหรับเรา ให้เค้าได้มีโอกาสได้ลองทำ”

เหมือนเห็นตัวเองในตอนเด็ก ?

“ด้วยส่วนนึง เมื่อก่อนเราก็มีความฝัน เราอยากเป็นศิลปินอยากมีซิงเกิล เราก็ร้องเพลงตอนกลางคืนเหมือนกัน ตอนมีซิงเกิลแรกในชีวิต โห! ตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนไม่มียูทูปให้มาเปิดดู ต้องรอฟังวิทยุเมื่อไหร่จะเปิดเพลงเราว่ะ! ทุกวันนี้เวลาได้ยินเพลงที่ตัวเองเคยร้องไกด์เอาไว้ ตอนแรกผมจะไม่รู้นะว่าเพลงนี้ผมร้องไกด์ จนผมได้ยินและรู้สึกว่าผมร้องได้ ผมจะถามตัวเอง ทำไมถึงร้องเพลงนี้ได้ แล้วก็จะนึกออก อ๋อ!! เพลงนี้ร้องไกด์ รู้สึกว่าเพลงนี้คุ้นเคยกับเรา โดยที่ไม่ได้ฟังบ่อยแต่ยังจำเนื้อได้ รู้สึกอมยิ้มไปกับเพลงเหล่านี้ ถ้าถามว่าเพลงไหนเป็นที่สุดของเรา ต้องเพลงที่ร้องไกด์ให้พี่เบิร์ด ธงไชย ดีใจที่ได้ทำงานให้กับไอดอลของเราตอนเด็กๆ”

โอ๊ต ปราโมทย์ กับ แชมป์ norman

เวลาทำงานสนุกสนานเหมือนที่เราเห็นกันทางหน้าจอมั้ย ?

“ผมเป็นคนดุ แต่ไม่หยาบคายกับลูกน้อง เป็นคนเนี๊ยบจะแบบอันนี้ไม่ได้แบบนี้ไม่ได้ ค่อนข้างเป็นคนเด็ดขาด เห็นผมแบบนี้แต่ถ้าไม่คือไม่ ได้คือได้ ใจดีก็ใจดีเลย อยากทำอะไรทำเลย โอเคจะกินเหล้า ตัดต่ออยู่จะกินเบียร์ก็ไม่ว่ากันเต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลาแล้วชอบคนที่มีความรับผิดชอบสูง ตัวผมเองผมเละเทะสำมะเลเทเมาก็จริง แต่พอถึงเวลางานไม่ได้เลยต้องเนี๊ยบ”

ทุกวันนี้แบ่งพาร์ทการทำงานยังไง ?

“ผมแบ่งอะไรไม่ได้เลย งานมันแบ่งให้ผมเอง ทำหน้าที่ตามตาราง ตื่นมาทำงาน ก่อนนอนจะถามเลขาอัพเดทพี่หน่อย พรุ่งนี้มีงานอะไรบ้าง เสื้อผ้ากี่ชุด งานกี่งาน ธีมลูกค้าสีอะไร ชุดควรจะเป็นแบบไหน เริ่มกี่โมงเลิกกี่โมง คนขับรถจะมากี่โมง แค่นั้นเลย มีคนจัดไว้เราก็ทำตาม ทุกวันนี้มีเลขาหนึ่งคน ผู้จัดการฝั่งดนตรีหนึ่งคน ผู้จัดการชีวิตอีกหนึ่ง ผู้ช่วยเลขาอีกหนึ่ง อันนี้เฉพาะแค่เรา แต่ว่าในบริษัทที่ผมยังต้องดูแลอีกห้าสิบหกสิบชีวิต โคตรคูลเปิดมาสามสี่ปี ถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดด จากตอนแรกมีพนักงานแค่สองก็เพิ่มเป็นห้า จากห้าเป็นสิบเป็นสิบห้าเป็นยี่สิบ แล้วโตมาเรื่อยๆ  ยังไม่รวมนักดนตรีอีกที่เราต้องรับผิดชอบ”

โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน

หลักในการทำงาน ?

“ความรับผิดชอบ อย่างตอนที่รับแชมป์เข้ามา หรือรับพนักงานทุกคนเข้ามา พอรับเข้ามาแล้วหมายความว่า เราต้องดูแลชีวิตเค้า เมื่อเราอยากดูแลชีวิตใคร เราต้องเป็นผู้นำที่ดี สิ่งแรกคือต้องมีเงินเดือนให้ทุกคนในทุกๆ เดือน ที่เหลือก็ดูแลกันกินอะไรอยู่กันยังไง คนอื่นบอกว่าบริษัทเราอยู่กันแบบครอบครัว ผมไม่รู้นะที่อื่นอยู่กันยังไง แต่เราอยู่เหมือนเพื่อนพี่น้อง ถ้าถามว่า หลักในการทำงานในการดำเนินชีวิต การเป็นเจ้านายหรือเป็นศิลปิน ก็คือความรับผิดชอบ”

คิดว่าวันนี้ตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง ?

“ผมไม่รู้ คำว่าประสบความสำเร็จของแต่ละคนเป็นยังไง สำหรับตัวผมเอง ผมประสบความสำเร็จทุกวัน ผมเป็นคนตั้งเป้าหมายใกล้ๆ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายว่า ในชีวิตนี้เราจะไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ก่อนหน้านี้เคยตั้งเป้าหมายไว้แบบนี้แหละ แล้วพอไปถึงตรงนั้นจริงๆ มันหลงทาง พอ ได้จุดที่เราต้องการแล้ว มันมองหาเป้าหมายใหม่ไม่เจอ พอเป้าหมายมันไกลออกไปทำให้เราท้อ มันเหนื่อยเราต้องเดินไกล"

"ทุกวันนี้เลยปรับเป้าหมาย มองเป้าหมายสั้น ได้แค่นี้ดีแล้ว ได้แค่นี้ดีใจ ค่อยๆ ขยับเป้าหมาย จะทำให้เรามีแรงในการอยากทำงาน เดือนนี้อยากทำเพื่อสิ่งนี้ หกเดือนนี้อยากทำเพื่อสิ่งนี้ ปีนี้เราอยากทำเพื่อสิ่งนี้ จะไม่ค่อยมองความสำเร็จในภายภาคหน้า อายุเริ่มเยอะแล้วจะสี่สิบแล้ว ไม่รู้ว่าจริงๆ ตอนนี้จุดหมายเราคืออะไร แค่หน้าที่ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราก็ทำจนไม่รู้ว่าคนอื่นอาจจะมองว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่เรากลับมองว่านี่คือหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่ต้องทำทุกวัน”

มองว่าตัวเองยังขาดอะไรอีก?

“ขาดเวลา อยากเล่นเกมส์ ไม่มีเวลาเล่นเกมส์เลย ปกติชอบเล่นเกมส์มาก หลังๆ ไม่มีเวลา  ทุกวันนี้เล่นเกมส์ได้แค่ครึ่งชั่วโมงหมดเวลาแล้ว ต้องพักผ่อนแล้ว” 

ความรักไม่ค่อยเห็นพูดถึงเท่าไหร่ ?

“ปกติครับ สบายๆ มีคนเข้ามามีคนออกไป แล้วก็มีคนเข้ามาแล้วก็มีคนออกไป แล้วก็มีคนใหม่เข้ามา เรารู้สึกว่า เฮ้ยคนนี้อยู่กับเราแล้วสบายใจก็จะแฮปปี้กับมัน ล่าสุดตอนนี้มีเพิ่งออกไปแล้วก็มีเข้ามา เข้ามาก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้ามายังไง เลยเป็นคนไม่ค่อยได้พูดเรื่องความรักต่อที่สาธารณะ ไม่ใช่กลัวกับการที่จะพูด แต่หมายความว่า พูดแล้วบางทีเราอายุเยอะแล้ว เราต้องมองคนที่ใช่ พอคุยไปแล้วมันไม่ใช่ แล้วมันเกิดการออกไป คนก็จะรู้สึกว่า โอ๊ตอย่างนั้น โอ๊ตอย่างนี้ เราเองก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว บางทีอาจไม่จำเป็นต้องพูดบ่อย เมื่อเราเจอคนที่ชัวร์จริงๆ ก็จะโอเคเลย เราก็พร้อมด้วยทุกอย่างที่เราทำแล้ว ชีวิตก็น่าจะมั่นคงพอที่จะมีครอบครัวได้”

เวลาคนเลิกกันแล้วใช้เหตุผลว่าหมดแพชชั่น จะต้องนึกถึง "โอ๊ต ปราโมทย์" ?

“เฉยๆ คือหนึ่งเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว สองคือ เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้ววันนี้เวลาเข้าไปดูตามสื่อโซเชียลต่างๆ แล้วมีคนเลิกกัน หรือเลิกกันด้วยเหตุผลคล้ายๆ ผม ทุกคนก็จะรีมายด์กลับมาเสมอ แล้วทำไมตอนนั้นไม่ว่าผมจะเลิกด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทำไมต้องด่าผมด้วย มันเป็นเรื่องของคนสองคน ทุกวันนี้เฉยๆ ครับ เป็นเรื่องเล็ก เรื่องงานสำคัญกว่าสำหรับผม เวลาคนพูดถึงเราไม่ดีในเรื่องการทำงานจะซีเรียสมากกว่า"

เคยหมดแพชชั่นในการทำงานมั้ย ?

“ไม่เคยหมดครับ เพราะค่าใช้จ่ายผมหนัก ต้องหาเงินเยอะที่จะต้องรับผิดชอบคนเยอะ จะหมดแพชชั่นกับมันไม่ได้ จริงๆ มันมีเรื่องราวกระทบผมทุกวัน เรื่องบริษัทเรื่องการงานเรื่องชิ้นงานที่ออกมาไม่ดี เรื่องที่เราจะต้องดิวลูกค้า เรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันมีผลกระทบกับจิตใจทุกวัน แต่ผมว่าเราเป็นผู้นำ เป็นคนที่ต้องพาคนอื่นไป ผมจะไม่อยู่กับมันนาน ก็จะรู้สึกเฮ้ย! ไม่ได้แล้วว่ะ ต้องทำงานแล้ว ต้องตัดเลยต้องทำงานต่อ ความรู้สึกนี้ไม่ดีกับเราเลย ไม่สบายใจ ต้องตัดแล้วทำงานต่อ"

"อันนี้มันก็ไปเชื่อมโยงกับเรื่องความรักด้วย ถ้าเรารู้สึกเฮ้ย! ไม่ใช่แล้วก็จะไม่เสียเวลา เมื่อก่อนก็ไม่ได้ตัดเร็ว อายุทำให้เราตัดได้เร็วขึ้น แรกๆ สามสิบต้นๆ ยี่สิบปลายๆ ก็รู้สึกอยู่แล้วกับความรู้สึกต่างๆ ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ มันก็เจ็บปวด พอโตขึ้นก็รู้สึกว่าเจ็บปวดไปก็เสียเวลา เดี๋ยวก็ตายแล้ว”

ที่มา "แก๊งรถ  PUSH PUSH DRIVE" ?

“เอาจริงๆ ย้อนกันไปจริงๆ มันมาจากน้องนาย ณภัทร คนแรกที่ชักชวน ก่อนที่จะเป็นแก๊งรถมันเป็นแก๊งไลก้ามาก่อน เป็นแก๊งถ่ายรูปมาก่อน ทีนี้แก๊งถ่ายรูปก็พัฒนามา เพราะชอบอะไรคล้ายกัน ชอบถ่ายรูป ชอบปอร์เช่เหมือนกัน มันเป็นรถที่มีความคลาสสิก สุดท้ายก็มารวมตัวกัน กลายเป็นคนที่ชื่นชอบรถเหมือนกัน เวลาไปออกทริปก็ประมาณสามเดือนครั้ง เดี๋ยวจะไปอีกทีคงต้นปี เวลาเราไปทริปมันคือเวลาพักผ่อนของพวกเรา จะมีความสุขเวลาได้นั่งคุยกัน เรื่องที่คุยกันไม่มีอะไรเลยครับ คุยกันเรื่องรถเรื่องนาฬิกา” 

มูลค่ารถในแก๊งรวมกัน ?

“จริงๆ ที่พวกผมซื้อกันชอบกันไม่ได้แบบอวดรวย เหมือนที่บอกมันเป็นความใฝ่ฝัน พอได้รถที่เราฝัน แล้วเราได้ใช้มัน ได้ขับไปเจอคนที่ชอบ ได้พูดคุยเรื่องเดียวกันมีความสุขมากๆ เราไม่ได้คุยเรื่องอื่น คุยแต่เรื่องรถ เพราะรถมันเข้มข้นมาก ดียังไงไม่ดียังไง อยากเปลี่ยนสีเป็นสีอะไร จะแต่งอะไรเพิ่มดี นั่งคุยนั่งจอยมีดื่มกันนิดหน่อย มันมีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่คุยเรื่องงาน เรื่องผลประโยชน์เงินทอง ถ้าเราไม่ล็อคคิวล่วงหน้ากันสามเดือน อย่างผม อย่างพี่หนุ่ม กรรชัย, นาย ณภัทร, บิวกิ้น ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว พอมันล็อคไว้เนี่ย นั่นหมายความว่า วันที่เราล็อคไว้ คือวันพักผ่อนของเรา ใช้วันพักผ่อนให้มีความสุขที่สุด"

โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน

logoline