
"ผมรู้จักน้องพีค เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เมื่อปีที่แล้วเขาก็มาออดิชั่น ตอนนั้นช่อง 3 ก็ไม่ได้ตอบรับนะ อาจเป็นเพราะเขายังเรียนอยู่ปีสุดท้าย ช่วงนั้นผู้ใหญ่ยังลังเลกับเขาว่าจะอย่างไร จนมาเห็นเขาในโซเชียลมีเดีย แล้วเขาตัวโต ดูหนุ่มขึ้น และหน้าตาดีขึ้นมาก จากเด็กธรรมดาอายุ 16 ปี แต่สูงถึง 186 ซม. ก็น่าสนใจ ทางช่องก็เรียกกลับไปคุย ก็เซ็นไว้ 5 ปี จริงๆ ที่ผ่านมา เราก็พาเขาไปออดิชั่นหลายที่เหมือนกันที่ญี่ปุ่น และที่ยูนิเวอร์แซลมิวสิค เพราะเขาอยากทำเพลง เขามีจัสตินบีเวอร์เป็นไอดอล คือก่อนที่เขา จะเซ็นสัญญากับเรา พ่อเขาเคยเอารูปผู้จัดการดาราหลายๆ คนมาให้ลูกเขาดู และถามว่าอยากทำงานกับใคร พีคบอกว่าอยากทำงานกับลุงปิ๊ก เราก็เลยโชคดีไป ในส่วนของพีค เราก็มองเรื่องการตลาด ที่เป็นสากลมาก เขาก็อยู่ในคอนเซปต์เด็กไทย ที่พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดนานาชาติ ด้วยตัวเขาเอง เขามั่นใจและเก่งเรื่องเต้นมาก เราก็ดูๆอยู่ เพราะสุดท้าย เราก็บอกไม่ได้ว่าเขาจะมีโชคแบบที่เจมส์มีไหม แต่เราทุ่มเทให้กับการเตรียมความพร้อม เราวางแผนมาอย่างดี และสร้างคนที่มีคุณภาพให้กับวงการบันเทิง" ปิ๊กกล่าว
เมื่อถามต่อว่าตอนนี้ “พีค”กองทัพ มีผลงานอะไรบ้าง ซึ่งผู้จัดการดาราดังแจงว่า "ตอนนี้ให้เขาเรียนภาษาไทยกับออกกำลังกาย เพราะเขาอยู่ต่างประเทศมานาน เสียงเขาอยู่ในลำคอ ก็เลยต้องไปเรียนเรื่องการออกเสียงการวางตำแหน่งลิ้น (หลายคนจับตามอง) คือเขาเคยมาเทรนกับเรา 2 เดือนช่วงซัมเมอร์ ก็มีเรียนแอคติ้ง เราว่าเขามีพรสวรรค์นะ เขาจบสายดนตรี และจบสายละครเวทีมาโดยตรง และมีดีเอ็นเอพ่อ ที่เป็นนักแสดงโดยตรง อาจต้องปรับจูนเรื่องภาษานิดหน่อย เพราะเขาอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 11 ปี ก็ต้องฝากด้วย เขาเหมือนเจมส์เด๊ะเลย ตรงที่เขาชอบเพลง แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่า ช่องจะเปิดโอกาสให้เขาทำงานเพลงก่อนไหม ก็ต้องดูว่าเขาจะปรับตัวเองได้มากแค่ไหน จะเห็นได้ว่าเราค่อนข้างจะพาเจมส์ไปเทรนโน่นเทรนนี่
ยอมรับว่าเหนื่อย และต้องลงทุนกับเด็กหลายสิบล้าน แต่เราอยากเห็นเด็กมีอนาคต เพราะเราเองก็อายุมากแล้ว สุดท้ายเราก็ต้องพึ่งพาเขา ถ้าเด็กเรามีความสามารถที่หลากหลาย รู้จักเอนเตอร์เทน เด็กเราก็จะอยู่รอดกับการแข่งขันที่สูงขึ้น อย่างที่ทราบๆกัน ว่าเศรษฐกิจบ้านเรา ไม่ได้เอื้อทุกอย่าง แล้วละครบ้านเราประเทศเพื่อนบ้าน เขาก็ดูนะ จีนก็ดู ถ้าข้างนอกต้อนรับดาราไทย เด็กก็จะมีกิจกรรมที่สร้างรายได้ด้วย" ปิ๊กกล่าวปิดท้าย