นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์หน้ากับ Nation STORY ว่า ราคาทองคำช่วง 1 มี.ค.- 8 มี.ค.ปรับตัวขึ้นประมาณ 113 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดยราคาทองคำมีปัจจัยหนุน จากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำเฟดเริ่ม ปรับลดดอกเบี้ยปีนี้ หากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นตามคาด นอกจากนี้เฟดตระหนักถึงความเสี่ยงที่กลุ่มคนในวัยทำงานได้รับจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด
ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตาม
- ตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ.และ ยอดค้าปลีกเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- การประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี และ การประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะชี้นำแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน
- ความตรึงเครียดระหว่างสหรัฐจีน เมื่อสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯกำลังเร่งกดดันชาติพันธมิตร อย่างเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ให้ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ในการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ซึ่งนับเป็นมาตรการที่กำลังเผชิญกับแรงต้านจากพันธมิตรบางประเทศ
ทั้งนี้มองแนวโน้มสัปดาห์หน้า ราคาทองยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น จากที่นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ระวังแรงขายทำกำไร หลังจากราคาดีดปรับตัวขึ้นทำนิวไฮใหม่
กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำเปิดสถานะซื้อทำกำไรระยะสั้น เมื่อราคาปรับตัวลงสามารถยืนเหนือโซนแนวรับ 2,149-2,141ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับบริเวณ 2,123 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทยอยปิดสถานะซื้อทำกำไรหากราคาไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 2,164-2,169 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวต้านแรกที่ 2,169 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้านถัดไปที่ 2,184 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้านสุดท้ายที่ 2,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวรับแรกที่ 2,141 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวรับถัดไปที่ 2,123 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับสุดท้ายที่ 2,105 ดอลลาร์ต่อออนซ์