น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 34.50-35.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือบีโอเจ เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ เพื่อดูทิศทางว่าเงินเฟ้อได้ปรับตัวลงต่อเนื่องต่อหรือไม่ และเงินเฟ้อเริ่มเข้าสู่เป้าหมาย 2% แล้วหรือยัง แม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในกลางปีหน้า
สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคช่วง 1 ธ.ค.-15 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า สกุลเงินส่วนใหญ่แข็งค่า นำโดยบาท-ไทย 0.9% รองลงมาเป็นดอลลาร์-สิงคโปร์ 0.76% หยวน-จีน 0.36% รูเปียห์-อินโดนีเซีย 0.1%รูปี-อินเดีย 0.09% ดอง-เวียดนาม 0.06% ดอลลาร์ -ไต้หวัน 0.02%
ยกเว้น ริงกิต-มาเลเซียอ่อนค่า 0.11% วอน-เกาหลี ใต้ อ่อน 0.27% เปโซ-ฟิลิปปินส์อ่อน 0.37% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่1-14 ธ.ค. ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 2,859 ล้านบท พันธบัตรขายสุทธิ 10,481 ล้านบาท
สาเหตุ เงินบาทแข็งค่า นำโด่งภูมิภาคเกิดจาก
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation Online ว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยหนุนการแข็งค่าจาก
1. การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินยูโร (EUR) หลังทั้งธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางยุโรปยังคงส่งสัญญาณ พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสวนทางกับการส่งสัญญาณเตรียมพิจารณาลดดอกเบี้ยของเฟด
2.ปริมาณธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังจากราคาทองคำพยายามรีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านระยะสั้นอีกครั้ง
3. แรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติกลับซื้อหุ้นไทย รวมถึงบอนด์ระยะสั้นเพิ่มเติม
4. อานิสงส์จากการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินหยวนจีน (CNY) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีนไม่ได้ออกมาแย่กว่าคาดไปทั้งหมด โดยมียอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ที่ออกมาดีกว่าคาดไปมาก
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เราคงมุมมองเดิมว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม และยังไม่ได้เป็นระดับที่ตึงตัวหรือเข้มงวดจนเกินไป สำหรับเศรษฐกิจไทย
ดังนั้น หากเฟดทยอยลดดอกเบี้ยลงแค่ 3 ครั้ง ก็อาจมาจากสมมติฐานเศรษฐกิจชะลอลงบ้างแบบ Soft Landing ซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจมากนัก ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องและมีความสมดุลมากขึ้น ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) จะสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้