เงินบาทอ่อน ! รั้งอันดับ 6 ในภูมิภาค เพราะเหตุใด

น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยกับ Nation Online ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ  35.20-36.00  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ติดตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สถานการณ์สงครามระหว่างฮามาสกับอิสราเอล ข้อมูลเงินเฟ้อเดือนต.ค.ของไทย รวมถึงความชัดเจนของโครงการ digital wallet ซึ่งตลาดต้องการรายละเอียดของขนาดโครงการ ระยะเวลาที่จะเริ่มแจกได้ กฎเกณฑ์ต่างๆ และแหล่งที่มาของเงิน

โดยในเดือนต.ค.เงินบาทแข็งค่า ส่วนหนึ่งเป็นผลของราคาทองคำที่พุ่งขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ค้าทองส่งออกจำนวนมาก นอกจากนี้ ภายหลังผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) และท่าทีการสื่อสารของประธานเฟดที่ลดความแข็งกร้าวลง และให้ความเห็นว่าภาวะตลาดเงินตึงตัวอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจในระยะถัดไป ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเฟดน่าจะยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดหนุนเงินในภูมิภาคแข็งค่าในสัปดาห์หน้ากดเงินดอลลาร์อ่อนค่า  โดยมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.มีแนวโน้มตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ยาวไปจนถึงสิ้นปี 67

สำหรับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาคช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา( ม.ค.-ต.ค.) พบว่าทุกสกุลเงินอ่อนค่าหมด โดยริงกิต-มาเลเซียอ่อนค่ามากสุด 7.06% รองลงมาเป็นหยวน-จีน  5.67% ดอลลาร์-ไต้หวัน  4.85% วอน-เกาหลีใต้ 4.30% ดอง-เวียดนาม 3.80%  บาท-ไทย 3.18% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 1.67%   รูเปียห์-อินโดนีเซีย 1.14%  รูปี-อินเดีย 0.63% และเปโซ-ฟิลิปปินส์ 0.54 % 

สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าเป็นผลจาก

• เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเทียบกับทุกสกุลเงินในภูมิภาคนี้ ท่ามกลางภาวะตลาดตึงเครียดจากการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 
•  เศรษฐกิจจีนฟื้นช้า
• ตลาดกังวลความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นทางการคลังว่า จะคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด
• การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นเพียงฉาบฉวยหรือว่ามั่นคง
• กระแสเงินทุนไหลออก นับตั้งแต่ต้นปี ถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1.72 แสนล้านบาท และขายพันธบัตรสุทธิ 1.39 แสนล้านบาท โดยเกิดจากตราสารครบอายุ 1.43 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ แจ้งว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 188,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8% นอกจากนี้ตลาดได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 4.6%  

ทั้งนี้การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนการชำระหนี้ของบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุน และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  นักลงทุนเทน้ำหนักในการคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด  นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. 67 เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 67

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 90.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค.66 ขณะเดียวกัน นักลงทุนคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนม.ค.และเดือนมี.ค.ของปี 67 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. หลังจากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.