svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเงิน-การลงทุน

เงินบาทพลิกอ่อนค่า ! ดอลลาร์แข็ง -เงินเยนร่วงหนัก

01 พฤศจิกายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 36.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “อ่อนค่าลง” แรงกดดันจากดอลลาร์แข็งค่า หลังบีโอเจไม่ได้ปรับนโยบาย Yield Curve Control ทำให้เงินเยนอ่อนหนัก ผสมโรงกับนักลงทุนแห่ซื้อทองคำในช่วงจังหวะย่อตัว จับตาประชุมเฟดคืนนี้

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า  ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.96 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 35.93-36.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) กดดัน

โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงหนักของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผลการประชุม BOJ ไม่ได้ปรับนโยบาย Yield Curve Control (การควบคุมอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางหรือยาว ด้วยการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเป้าหมาย) อย่างที่ตลาดคาดหวัง นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำสู่โซนแนวรับระยะสั้น ก็เป็นอีกปัจจัยที่กลับมากดดันเงินบาทเช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ยังออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการประชุมเฟด (รับรู้ในช่วง 1.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.65%

เงินบาทพลิกอ่อนค่า ! ดอลลาร์แข็ง -เงินเยนร่วงหนัก

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.59% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเผชิญแรงกดดันบ้างจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สะท้อนภาพการชะลอตัวลงมากขึ้นของเศรษฐกิจยูโรโซน ทว่าภาพดังกล่าวกลับทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth สามารถรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง (ASML +2.4%, SAP +0.9%)

ขณะที่ตลาดบอนด์ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงเปิดรับความเสี่ยงและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังมองว่า เฟดอาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้นาน (Higher for Longer) ในการประชุมเฟดที่จะถึงนี้ ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.93% อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างในสัปดาห์นี้ แต่มองว่า จุดสูงสุดก็น่าจะอยู่ใกล้แถว 5% คงแนะนำ “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาว โดยรอจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ในการทยอยเข้าซื้อ

ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงหนัก ทะลุระดับ 151 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังต่อการปรับมาตรการ Yield Curve Control ของ BOJ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 106.7 จุด (กรอบ 105.9-106.9 จุด)

ส่วนราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์ สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ผลการประชุมเฟด ที่จะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาประเทศไทย โดยจากการประเมินถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต่างกังวลต่อแนวโน้มภาวะการเงิน (Financial Conditions) ที่ตึงตัวมากขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ (โอกาส 95.8% จาก CME FedWatch Tool) และสถานการณ์สงครามที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50%

อย่างไรก็ดี จับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วงหลังรับรู้ผลการประชุม และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ในสัปดาห์นี้

นอกเหนือจากผลการประชุมเฟด ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิต และรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจะถูกรับรู้ก่อนผลการประชุมเฟด ทำให้ตลาดการเงินอาจผันผวนสูงได้พอสมควร

นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงนี้ได้เช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าเริ่มกลับมาบ้าง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงหนักของเงินเยนญี่ปุ่น ขณะเดียวกันราคาทองคำ ก็ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในช่วงย่อตัว

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทอ่อนค่าลงก็อาจติดโซนแนวต้านแถว 36.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนสูงในช่วงนี้ แต่แรงขายสินทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติก็อาจชะลอลงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้

ทั้งนี้ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน ตั้งแต่ช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ไปจนถึงช่วงรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยในช่วงนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเฟดเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้นาน (Higher for Longer ) หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้ดีไปกว่าคาด หรือเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีโอกาสย่อตัวลงได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน สถานการณ์สงครามที่เสี่ยงทวีความรุนแรงและบานปลาย ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

ขณะเดียวกันการเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.05-36.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟดและประเมินกรอบ 35.90-36.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด

logoline