น.ส. ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ทิศทางทองคำสัปดาห์นี้จะปรับตัวลง หลังจากที่ปรับขึ้นมา 5 สัปดาห์ติดต่อกัน เพราะตลาดจีนปิดทำการเนื่องจากเทศกาลตรุษจีน
ซึ่งจะหยุดยาวตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในจีนเริ่มดีขึ้นจากเดิมที่เคยติดเชื้อ 2.85 ล้านราย เดือนมกราคมลดลงมามาอยู่ที่ 400,000 ราย ถือว่าเป็นการผ่านจุดพีคมาแล้ว นอกจากนี้จีนเปิดประเทศทำให้การบริโภคทองคำเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันต้องติดตาม GDP ในไตรมาส 4/65 ของสหรัฐที่จะประกาศในวันที่ 26 ม.ค. นี้ รวมถึงดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล หรือพีซีอี เพราะเป็นตัวสะท้อนการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด
ส่วนในประเทศคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันที่ 25 มกราคม คาดว่าขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อย่างค่อยเป็นค่อยไป จากดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวและคาดหวังว่าการท่องเที่ยวจะสามารถช่วยประคองเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว และมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เทียบกับไทยแคบลง ซึ่งจะทำให้ในเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น ส่วนการส่งออกในปีนี้ อาจจะไม่ดีจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไทยขาดทุนบัญชีเดินสะพัด 2 ปีติด แต่ก็หวังว่าในปีนี้การท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก
สำหรับราคาทองคำในสัปดาห์นี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ประมาณ 1,890 - 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านอยู่ที่ 1,930- 1,935 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าปรับขึ้นไปได้อาจจะเห็นราคาที่ 1,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
โดยปัจจัยที่เป็นบวกต่อทองคำในระยะสั้นก็คือภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศมหาอำนาจอย่าง เช่น สหรัฐอเมริกา หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนปัจจุบันอยู่ที่ 4.25-4.5% คาดว่าปีนี้จะปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง ๆ ละ 0.25% เพื่อกดให้เงินเฟ้ออยู่ระดับ 2% ตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม หากราคาทองปรับตัวขึ้นนักลงทุนอาจมีการเทขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ถ้าราคาทองปรับตัวลงก็ควรเข้าทยอยสะสม ซึ่งหากย้อนสถิติตั้งแต่เดือนต.ค.65 ถึงปัจจุบันทองปรับขึ้น 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 18% จึงทำให้ราคาทองอาจปรับฐานลงมาบ้าง