svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 'อ่อนค่าลง' อยู่ที่ 32.47 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 'อ่อนค่าลง' 32.47 บาท/ดอลลาร์ จากระดับปิดสัปดาห์ก่อน 32.30 บาท/ดอลลาร์ มองกรอบสัปดาห์นี้ที่ 32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.49 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) พลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ล่าสุดของเฟด ที่มีลักษณะ “Hawkish Cut”

พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย

สัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ พร้อมติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪    ฝั่งสหรัฐฯ – ในช่วงทุกๆ ต้นเดือน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน จากผลกระทบภาวะ Government Shutdown (รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ จากหน่วยงานรัฐ) ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากฝั่งเอกชน ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่ตลาดจะให้ความสำคัญมากขึ้น รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนตุลาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) สำหรับเดือนพฤศจิกายน และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด  

▪    ฝั่งยุโรป – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์รวมถึงเรา ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษก็ยังอยู่ในระดับสูง ทว่าสัญญาณการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานอังกฤษก็อาจทำให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน
 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 'อ่อนค่าลง' อยู่ที่ 32.47 บาท/ดอลลาร์

▪    ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย RatingDog (หรือเดิมคือ Caixin PMI) ในเดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เช่นกัน ส่วนการประชุมธนาคารกลางที่น่าสนใจ จะประกอบไปด้วย การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ทั้ง RBA และ BNM อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ แต่อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีหน้า หากเศรษฐกิจออสเตรเลียและมาเลเซีย ชะลอตัวลงมากกว่าคาด ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตค่าจ้าง (Wage Growth) โดยหลังการประชุม BOJ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ และให้โอกาสราว 48% ที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม
    
▪    ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนตุลาคม จะยังคง “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.79% (-0.12%m/m) ตามการปรับตัวลงของทั้งราคาเนื้อสัตว์และราคาพลังงานจากเดือนก่อนหน้า อีกทั้งฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะชะลอตัวลงบ้าง ทว่าเรายังไม่เห็นความเสี่ยงภาวะเงินฝืด หรือสัญญาณการปรับตัวลงของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนตุลาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับมามีกำลังบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ (เราขอย้ำว่า ราคาทองคำได้เข้าสู่ช่วงการพักฐาน) ตามการปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

เงินดอลลาร์แม้จะแข็งค่าขึ้นต่อได้ แต่ก็ต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งควรย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง ถึงทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ทำให้ เงินดอลลาร์ก็ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด 

อีกทั้งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มทยอยปรับลดสถานะถือครองหรือขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 100 จุด (หากแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจเห็นดัชนี DXY ปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 102 จุด ได้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาท เข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์)

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB บ้าง และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ (หรือปรับตัวขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์) ได้อย่างชัดเจน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์