
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Monetary Policy Forum 2/2568” ระบุว่า ธปท.ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง จะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.6% จากที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐ ส่วนปี 2569 ขยายตัว 1.7% ถือว่าค่อนข้างต่ำ เป็นภาพเศรษฐกิจไม่ดีอยู่แล้ว และเป็นการเติบโตต่ำกว่า 2% ซึ่งเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ และจะโตต่ำไปอีก 1 ปีครึ่ง แม้ว่าในปี 2568 จีดีพีจะขยายตัว 2.3% จะเห็นว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มาจากตัวเลขจริงที่ออกมาจากแรงส่งภาคการส่งออกที่ออกมาขยายตัวค่อนข้างสูง 12.6% ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.9-3%
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีจะเห็นการชะลอตัวค่อนข้างรุนแรง และมีความท้าทายค่อนข้างมาก จะมาจากภาคการส่งออกที่ลดลงรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 3/2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะหดตัว -4.0% และปี 2569 หดตัว -2.0% และจะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำไม่ถึง 1% และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ชะลอตัวลงเหลือ 1.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ขยายตัว 3%
โดยเศรษฐกิจไทยทั้งปี 68 และปี 69 มีความเสี่ยงไปทางด้านต่ำ และมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ 1. พัฒนาการของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ (Trade War) และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 2. ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ 3. ความตึงตัวของสินเชื่อในบางจุด ที่อาจะกระทบกลุ่มเปราะบางและ SMEs มากกว่าที่คาด
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs ต่อตลาดการเงินโลกและตลาดเงินไทยจากการติดตามาไม่ได้มีผลกระทบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม โดยปัจจุบันยังเห็นเศรษฐกิจไปได้ ไม่ได้สะดุดตามตัวเลขจริงที่ออกมา แต่มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจมีความท้าทาย เพราะ Tariffs มีผลทอดยาวกระทบต่อการส่งออก การลงทุน และการบริโภค ซึ่งสถานการณ์จะทอดยาวไปถึงปี 69
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากตัวเลขจะต้องติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาไทยเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคเพียง 4 ครั้งเท่านั้นได้แก่ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการเงินโลก การชุมนุมใหญ่ที่มีการปิดสนามบิน และโควิด-19 ซึ่งการเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคจะต้องการแรงกระแทกรุนแรงจากภายนอกประเทศ หรือในประเทศจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงมาก ซึ่งในปี 2568 และปี 2569 มองอัตราการเติบเฉลี่ยไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ขยายตัว 0.1% ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตปกติที่อยู่ 0.7-0.8%
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงนี้ จะต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมทั้งประสิทธิผลที่ลดทอน ภายใต้บริบทอัตราดอกเบี้ยต่ำ และเศรษฐกิจที่เผชิญความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งความท้าทายส่วนหนึ่ง ที่มีสาเหตุจากความสามารถในการแข่งขัน และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
"ที่ผ่านมา กนง.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้ว 3 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายถือว่าอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย ซึ่งขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินถือเป็นสิ่งสำคัญ ภายใต้ความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า เช่น ปัจจัยในประเทศ, ปัจจัยเรื่องภาษีสหรัฐ ซึ่งอาจนำมาซึ่ง unexpected shock ขนาดใหญ่ ดังนั้น การที่เรามีขีดความสามารถในการรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดไว้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ" นายสุรัช กล่าว
น.ส.บัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ระบุว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.68) ขยายตัวได้ดีจากแรงขับเคลื่อนของภาคการผลิต และการส่งออกสินค้า ในขณะที่ระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสชะลอตัวจากผลกระทบของนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องมายังการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงรายรับภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง จากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี ยังมีการจับจ่ายของกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long haul) เช่น นักท่องเที่ยวยุโรป ที่เข้ามาช่วยชดเชยรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลงได้บ้าง