svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

กกร. ห่วงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ หวั่นปิดดีลไม่ทันกระทบการค้า

กกร. หวั่นไทยปิดดีลเจรจาสหรัฐไม่ทันกระทบการค้า กังวลบาทแข็งกว่าภูมิภาค จี้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย ห่วงเสถียรภาพการเมืองชี้ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น

นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบการเจรจาภาษีของสหรัฐขยายตัว 1.5-2.0% 1.กรณี Low tariffs เจรจาภาษีลุล่วง โดยมีการเก็บ Universal tariff อัตรา 10% จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.0% 2.กรณีฐาน เจรจาลดภาษีได้บ้าง Universal tariff , Reciprocal tariff ครึ่งนึงจากอัตราที่ประกาศหรือที่อัตรา 18% และลด Specific tariff จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.5%

นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย

ทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2568 มีปัจจัยเสี่ยงจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมถึงการเก็บภาษีที่อาจส่งผลให้การส่งออกไทยหดตัวรุนแรง โดย กกร.เตรียมเข้าพบหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและกำหนดทิศทางเศรษฐกิจร่วมกัน ทั้งนี้ แม้มูลค่าการส่งออกไทยช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวถึง 14.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เป็นผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนครบระยะผ่อนปรนมาตรการภาษี 90 วัน ดังนั้น การส่งออกที่สูงไม่สะท้อนการสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการจ้างงานในประเทศ เพราะส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าและส่งออกในรูปแบบการสวมสิทธิ์เพื่อการส่งออก (transshipment) โดยใช้ไทยเป็นฐานทางผ่าน
 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2568 การส่งออกไทยไปสหรัฐขยายตัว 27% ขณะที่การนำเข้าจากบางประเทศเพิ่มขึ้น 29% ชี้ให้เห็นว่านำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นผ่านไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าช่วงครึ่งหลังปี การส่งออกไทยมีแนวโน้มจะหดตัว 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ทำให้การส่งออกทั้งปี 2568 อาจขยายตัวใกล้เคียง 0% จะกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต การจ้างงานและรายได้ของแรงงานในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ กกร.ไม่เห็นด้วยกับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ถึง 2.3% โดยให้เหตุผลว่ายังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามที่ ธปท.ประเมินไว้ กกร.ยังคงมองว่าเศรษฐกิจจะอยู่ช่วง 1.5-2.0% การส่งออกจะอยู่ที่ -0.5% ถึง 0.3% และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.5-1%
 

กกร. ห่วงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ หวั่นปิดดีลไม่ทันกระทบการค้า

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลการเจรจาก่อนที่จะครบกำหนดวันที่ 9 ก.ค.นี้ จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ และต้องเปรียบเทียบกับผลที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จะได้รับ หากการเจรจาไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมหรือไม่ได้รับการขยายเวลา อาจนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานของไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

“ท่ามกลางความไม่แน่นอนหลายประการนี้ กกร. จับตาผลการเจรจาภาษีอย่างใกล้ชิด หากการเจรจาได้ข้อสรุปแล้วแต่อัตราภาษีไทยสูงกว่าคู่แข่งก็เป็นเรื่องใหญ่ หรือหากเจรจาไม่จบก่อนเดดไลน์ และสหรัฐยังประกาศอัตราภาษีเหมือนที่ผ่านมา ก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการค้าโลก ทำให้ดีมานด์ ซัพพลายเชนปั่นป่วน ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบแน่เนื่องจากเราส่งออกไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนกว่า 18%”

ทั้งนี้ กกร.จะเร่งเข้าพบ ธปท.สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางในการมองเศรษฐกิจแต่ละภาคส่วน รวมถึงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาคการเงินและภาคอุตสาหกรรมในการร่วมมือกับภาครัฐ เพื่อชี้เป้าอุตสาหกรรมและจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัด ในการส่งเสริมการปรับความสามารถในการผลิตของไทย (competitiveness) รวมไปถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าการลงทุนจากต่างชาติที่ ธปท. ร่วมกับ สภาพัฒน์ กระทรวงพาณิชย์ และ กกร. ร่วมกันศึกษา

กกร. ห่วงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ หวั่นปิดดีลไม่ทันกระทบการค้า

ทั้งนี้ มีแนวคิดเสนอให้เน้นมาตรการสำคัญในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสและสร้างความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) กลับคืนมา โดยเน้นเรื่องหลักนิติธรรม (Rule of Law) และการดูแลปกป้องภาคการผลิตและบริการภายในประเทศ นอกจากนี้ กังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ในช่วง 32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาคและทำให้ธุรกิจแข่งขันไม่ได้ กกร. จึงขอให้ ธปท. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และดูแลทิศทางของค่าเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ เสถียรภาพการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งความไม่แน่นอนสร้างผลกระทบต่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจในประเทศ ทั้งเรื่องการส่งออก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐตามแผน

กกร. ห่วงภาษีทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ หวั่นปิดดีลไม่ทันกระทบการค้า

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นจุดตั้งต้นของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตามนโยบายรัฐในการขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบโดยไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ 12 ธันวาคม 2567 มีลูกหนี้ลงทะเบียนแล้ว 1.4 ล้านราย เข้าข่ายร่วมโครงการ 6.3 แสนราย คิดเป็นยอดหนี้ 4.6 แสนล้านบาท และล่าสุดได้ขยายสู่ระยะที่ 2 โดยปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้ครอบคลุมมากขึ้น ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการ“จ่ายตรง คงทรัพย์” มาตรการ“จ่าย ปิด จบ” และมาตรการ“จ่าย ตัด ต้น” ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก ให้แก่กลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องเร่งคู่ขนานกันไปทั้งในการสร้างรายได้ ผลักดันให้ผู้ประกอบการปรับตัว(transform) เพื่อความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสวัสดิการที่จำเป็น รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบและหนี้นอกระบบ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ และไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ