svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ไทยเจอภาษี 36% สัญญาณเตือนสหรัฐไม่พอใจ แนะ 5 แนวทางรับมือ

'ดร.กอบศักดิ์' ชี้ไทยถูกเก็บภาษี 36% เท่าเดิม เป็นคำเตือนสหรัฐไม่พอใจ หวั่นเสียเปรียบเวียดนาม - มาเล 'ดร.พิพัฒน์' เสนอ 5 แนวทางรับมือ ชี้เจรจา วิน-วิน เป็นไปได้ยาก

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นักเศรษฐศาสตร์ แสดงความเห็นผ่าน Facebook ส่วนตัวระบุว่า การที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36%  “เท่ากับรอบแรก” เป็นสัญญาณเตือนว่า ข้อเสนอที่ไทยยื่นไป ยังไม่เป็นที่พอใจของสหรัฐ และยังไม่ใช่ “ข้อตกลงที่ดี” (Good Deal) ในมุมมองของทรัมป์ โดยอาจารย์กอบศักดิ์เน้นย้ำว่า ไทยต้องทำการบ้านเพิ่มเติมและกลับไปเจรจาใหม่ มิฉะนั้นผลลัพธ์อาจจะ “จบที่เดิม” เหมือนที่ทรัมป์เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน

นอกจากนี้ ชี้ว่า “สหรัฐอาจไม่ถอยอีก” เนื่องจากตลาดได้รับรู้ตัวเลขเหล่านี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง และผู้ประกอบการสหรัฐมีเวลาปรับตัวมา 90 วัน หากตลาดหุ้นสหรัฐไม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วง 2-3 วันข้างหน้า ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงใจประธานาธิบดีทรัมป์ได้

ไม่เพียงเท่านั้น กอบศักดิ์ยังเสริมว่า “ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง” หากเวียดนามถูกเก็บภาษี 20% และมาเลเซีย 25% ประเทศไทยจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบด้านต้นทุนภาษีถึง 10-16% ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ส่งออก เพราะคู่ค้าอาจเลือกซื้อสินค้าจากประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่า 

ส่วน “ผลกระทบต่อการลงทุน” มองว่า การที่ไทยมีต้นทุนภาษีสูงกว่าคู่แข่ง จะมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ เพราะนักลงทุนอาจเลือกไปสร้างโรงงานในประเทศที่มีต้นทุนภาษีถูกกว่า เช่น เวียดนาม
 

ไทยเจอภาษี 36% สัญญาณเตือนสหรัฐไม่พอใจ แนะ 5 แนวทางรับมือ

ด้าน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์บนเฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า จดหมายสไตล์ Art of the Deal ที่เหมือนเรียก “ค่าคุ้มครอง” บังคับไทยกลับโต๊ะเจรจาหลังจากขู่มาสามเดือน สหรัฐฯ ส่งจดหมายมาบอกว่า ไทยจะโดนภาษี 36 % กับสินค้าทุกชนิดภายใน 1 สิงหา แต่ก็เปิดช่องไว้ว่า ถ้าตัดสินใจเปิดตลาดก็อาจจะพิจารณาลดภาษีลงมาได้ เหมือนบอกว่า เขายังไม่พอใจกับการเจรจา และเครื่องราชบรรณาการที่เอามาให้ยังไม่ดีพอ นี่คือจดหมายปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ แต่ยังเปิดให้เจรจากันได้ต่อ นี่คงเป็นสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกว่า the art of the deal
 

ไทยเจอภาษี 36% สัญญาณเตือนสหรัฐไม่พอใจ แนะ 5 แนวทางรับมือ

การเจรจาแบบ “Win-Win” กับทรัมป์เป็นไปได้ยาก สถานการณ์นี้ทำให้ไทยต้องพิจารณาแนวทาง “Give and Take” โดยประเมินผลกระทบแต่ละทางเลือกอย่างรอบด้าน และหามาตรการชดเชยที่เหมาะสม ดังนี้

1. ทำความเข้าใจความต้องการของสหรัฐอย่างละเอียด โดยเฉพาะประเด็นที่เวียดนามยอมรับ เช่น การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐ การลดภาษีนำเข้า การยกเลิกอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี และการจัดการปัญหา “สินค้าสวมสิทธิ์” 

2. เปิดเสรีอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีมาตรการชดเชย โดยเฉพาะ “ภาคเกษตร” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 

3. พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น การให้สิทธิประโยชน์ด้าน R&D เครดิตภาษีสำหรับการผลิต EV parts, AI Hardware และ Data Center รวมถึงการ Upskill แรงงานไปสู่ทักษะดิจิทัลและหุ่นยนต์ เพื่อเพิ่มค่าแรงเฉลี่ยและผลิตภาพ

4. จัดตั้ง War-Room ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร และภาคเอกชน เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสหรัฐฯ และนักลงทุนว่าประเทศไทย “เอาจริง”

5. เร่งกระจายตลาดส่งออก ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าต่างๆ เช่น RCEP, CPTPP, GCC และเร่งดำเนินการ FTA กับกลุ่มประเทศใหญ่ๆ อย่างสหภาพยุโรป (EU) เพื่อ “ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ” และกระจายความเสี่ยงด้านการส่งออก

บทสรุป จดหมายฉบับนี้คือ the art of the deal เวอร์ชันเรียกค่าคุ้มครอง—บีบให้ไทยต้องเลือก จะยอมเสียบางอย่างตอนนี้ เพื่อไม่ให้เสียอนาคตทั้งหมด หากเราเดินเกม Give-and-Take ค่อย ๆ เปิดตลาดเกษตร พร้อมกันชน‐ชดเชย และเร่ง “ยกระดับศักยภาพแข่งขัน”—ไม่เพียงแค่รอดภาษี 36 % แต่ยังอาจใช้จังหวะนี้เร่งเครื่องเศรษฐกิจไทยสู่มูลค่าสูงกว่าเดิมให้ได้