svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ทีดีอาร์ไอ แนะไทยคงจุดยืนเป็นกลางรับมือ 'ระเบียบโลกใหม่'

ทีดีอาร์ไอ ชี้นโยบายทรัมป์สะเทือนซัพพลายเชนแบ่งโลก 4 ขั้ว แนะไทยรักษาจุดยืนเป็นกลาง รับประโยชน์ย้ายฐานการผลิต

ดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “เปลี่ยนวิกฤตโลก เป็นโอกาสไทย” ในงานกระทรวงการคลังจครบรอบ 150 ปีกระทรวงการคลัง MOF Journey 150ปี เส้นทางการคลังไทย” ระบุว่า จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐมีวัตถุประสงค์ในเรื่องของการดึงการลงทุนกลับไปที่สหรัฐและหารายได้เข้าประเทศ โดยการปรับภาษีขึ้นในส่วนแรกที่ปรับขึ้นทุกประเทศเท่ากัน 10% ก็ทำให้สหรัฐได้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คือโลกจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า 

De Globalization ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นระเบียบโลกใหม่ ( A new world order)จากนโยบายของทรัมป์ซึ่งโลกที่เปลี่ยนไปเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงทั้งในเรื่องของซัพพลายเชน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในรอบ 40-50 ปี โดยการรวมกลุ่มใหม่ทางเศรษฐกิจอาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเศรษฐกิจได้แก่
 

ดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)

1.สหรัฐ ที่จะแยกกลุ่มออกไปจากการที่ตั้งกำแพงภาษีประเทศอื่นๆ การดึงการลงทุนต่างๆจะน้อยลง  2.จีนและพันธมิตรของจีน เช่น อิหร่าน รัสเซีย แอฟริกา และประเทศในอาเซียน  3.กลุ่มยุโรป และกลุ่มพันธมิตรของยุโรป เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอเมริกากลาง และ 4.กลุ่มประเทศเป็นกลาง ที่จะสามารถ เทรดและค้าขายกับทุกกลุ่มได้เช่น อินเดีย ไทย และสิงคโปร์

สำหรับแนวโน้มการแยก 4 กลุ่มการค้าที่เป็นผลจากนโยบายของทรัมป์ นอกจากจะมีการแยกซัพพลายเชนการผลิตแล้วยังทำให้เกิดการแยกธุรกรรมทางการเงินออกจากกัน โดยสกุลเงินของจีน ยุโรป และสกุลเงินอื่นๆ จะมีบทบาทมากขึ้น เงินสกุลดอลลาร์จะลดความสำคัญลง มีการใช้เงินสกุลอื่นๆมากขึ้น ทำให้นักธุรกิจ ถือเงินหลายสกุล ทำให้การทำธุรกิจจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น และต้องมีการให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน รวมทั้งมีการออมเงินโดยการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้นด้วย

ดร.กิริฎา กล่าวต่อว่า แนวทางการเป็นประเทศที่เป็นกลางเป็นบวกต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของไทย โดยที่ผ่านมาการลงทุนที่จะเกิดขึ้นใน 2 – 3 ปีที่ผ่านมาถือว่าสอดคล้องกับความต้องการในทิศทางของตลาดโลกเพราะว่าฐานการผลิตที่เราได้มาเพิ่มเติมคือเรื่องของเครื่องใช้ไฟฟ้า รถไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซนเตอร์ ไบโอเทคโนโลยี ที่เข้าจับกับภาคเกษตรไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติในยุโรป เป็นเทรนด์ รวมทั้งให้มีการเข้ามาใช้ local content ในไทย 40-50% ด้วย

ทั้งนี้ทีดีอาร์ไอมีข้อเสนอในการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 3 ข้อได้แก่ 1.ปรับการค้าและการลงทุน ไทยจะพึ่งพาตลาดสหรัฐอย่างเดียวไม่ได้ ควรเร่ง FTA กับประเทศต่างๆเช่น ยุโรป รัฐบาลจะต้องช่วยเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา เป็นต้น
 

2.การดึงดูดการลงทุนที่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 50 ปี โดยครั้งสุดท้ายก็คือช่วง Plaza Accord ซึ่งเราต้องใช้ความเป็นกลางในการดึงดูดการลงทุน เราต้องมีการปรับทักษะที่รองรับกับการลงทุนในอนาคต ที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยปรับ Skills ของแรงงาน

นอกจากนี้รัฐบาลควรให้การสนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอน ราคาพลังงานต้องไม่แพงเกินไป และสนับสนุนเรื่องการทำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้มีการใช้งานในการสนับสนุนธุรกิจได้มากขึ้น

3.การเตรียมเรื่องการเงินและการคลังของประเทศให้มีความพร้อม เนื่องจากเงินเฟ้อในโลกนี้จะเริ่มลง และอัตราดอกเบี้ยสามารถที่จะลดลงได้ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีกในปีนี้ ประมาณ 2 ครั้ง โดยในส่วนนี้ดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงเหลือ 1.75% ในสิ้นปี ซึ่งจะช่วยประชาชนและภาคธุรกิจได้ ซึ่งต้องทำควบคู่กับการลดหนี้ครัวเรือน และเพิ่มรายได้ประชาชน

ส่วนการเตรียมการเรื่องของนโยบายการคลัง ซึ่งรัฐบาลต้องมีการเตรียมเงินไว้สำหรับอนาคต โดยไทยอาจจะไม่มีศักยภาพในการก่อหนี้มากขึ้นในอนาคตทรัพยากรที่มีอยู่ต้องใช้จำกัด การแจกเงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ต้องไปใช้ในเรื่องของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งหากไทยใช้เงินการคลังไม่ดี หากถูกลดเครดิตเรตติ้งจะสะเทือนมาก เรื่องนี้รัฐบาลต้องวางแผนในเรื่องของใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ด้าน ดร. สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าโลกแบบเก่าที่เป็นการค้าเสรีซึ่งเป็นโลกเก่าที่คุ้นชินนั้นถือว่าจบลงแล้วหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ระเบียบโลกที่สหรัฐเป็นเสาหลักได้จบลง กำลังเปลี่ยนโลกไปสู่สถานการณ์ชุดใหม่และเป็นระเบียบใหม่โดยเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ทั้งนี้ ดัชนีราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งไปแตะ 3,333 ดอลลาร์ต่อออนซ์นั้นสะท้อนความไม่แน่นอน โดยในอดีตที่ผ่านมา นโยบายการใช้กำแพงภาษีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกันของมหาอำนาจใหญ่ สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์มีโอกาสที่จะผันผวนมากขึ้น ยิ่งทำสงครามการค้าก็ยิ่งเห็นความตึงเครียดในเวทีระหว่างประเทศปัญหาความตึงเครียดชุดนี้จะนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างรัฐมหาอำนาจใหญ่เมื่อไหร่ 

โดยภาวะหลังจากนี้จะเห็นสถานการณ์ ของ 5 สงครามกับ 1 การแข่งขัน ได้แก่ 1.สงครามการเมือง 2.สงครามการค้า 3.สงครามการเงิน 4.สงครามเทคโนโลยี และ 5.สงครามข่าวสาร และมีการแข่งขันสะสมอาวุธ

“สถานการณ์ในขณะนี้เราหวังว่าจะไม่นำไปสู่สงครามทางการทหารที่อาจจะนำไปสู่สงครามโลกได้ ในการแข่งขันแบบนี้อาจจะต้องอาศัยสงครามเป็นเครื่องมือหรือไม่ ต้องจับตาว่าโลกจะเกิดสงครามเย็น โดยไม่รบกัน หรือทำสงครามใหญ่กันระหว่างมหาอำนาจได้ในอนาคต”

ดร. สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดร.สุรชาติ กล่าวต่อว่าในสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งถึงเวลาที่รัฐบาลต้องมีการจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุดใหม่ โดยในสถานการณ์นี้การใช้ยุทธศาสตร์ 20 ปี ไม่ได้ เพราะผ่านมา 3 วิกฤตแล้วโจทย์ทางเศรษฐกิจไม่เหมือนเดิม

“ถ้าเราจะดันยุทธศาสตร์ 20 ปี ไม่เกิดอะไรอยู่ ฝากกระทรวงการคลังถ้าตัดงบฯคณะทำงานยุทธศาสตร์ไปเลย การเตรียมตัวด้านงบประมาณเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าจีดีพีลด งบฯลดเหรือไม่ งบ69-70 วันนี้ต้องคิดว่าเราจะถอยไปเจอวิกฤตจากทรัมป์หรือไม่”

ทั้งนี้ ดร.สุรชาติได้มีการเสนอแนะให้รัฐบาลเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ที่จะเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะหลังวันที่ 7 เดือน 7 ที่จะครบ 90 วันที่สหรัฐระบุว่าจะครบกำหนดในการเลื่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ โดยมี 15 ประเด็นที่ต้องเตรียมความพร้อมได้แก่

1.การเตรียมยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของไทยชุดใหม่ เพราะที่ผ่านมาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นับว่าล้มละลายไปแล้ว และหากจะผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จะไม่สามารถตอบโจทย์อะไรให้กับประเทศได้ในอนาคต ดังนั้นจึงต้องเร่งจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของไทยจริง ๆ ขึ้นมารองรับสถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นประโยชน์มากกว่า

2.การจัดเตรียมงบประมาณด้านการเงิน โดยต้องจัดเตรียมงบประมาณประจำปีให้เกิดความเหมาะสมกับขนาดของจีดีพี และรองรับกับวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจจะมาจากระเบียบแบบใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์

3.การเตรียมพร้อมของภาคสังคม โดยรัฐบาลต้องเตรียมรับปัญหาด้านความมั่นคงของคนไทย เพราะต่อไปจะมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และทำให้เกิดปัญหาการปิดกิจการและคนตกงานมากขึ้น รวมทั้งการดูแลค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน

4.การเตรียมความพร้อมกับภาคการผลิตรองรับปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ จึงต้องเตรียมภาคการผลิตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ว่า จะต้องผลิตอะไรให้ตรงกับความต้องการ 5.การเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรม ภายใต้การขึ้นภาษีของสหรัฐ

6.การเตรียมความพร้อมของภาคการเกษตร ซึ่งในอนาคตกำแพงภาษีจะกระทบกับภาคการเกษตรมากกว่าที่คิด 7.การเตรียมความพร้อมของภาคบริการ เพราะแนวโน้มว่าการเดินทางท่องเที่ยวน่าจะปรับลดลง กระทบกับรายได้เข้าประเทศ  8.การเตรียมความพร้อมของภาคความมั่นคง โดยต้องตัดสินใจเรื่องของการซื้ออาวุธกับสหรัฐ

9.การเตรียมความพร้อมของภาคการเมือง ต้องมีคนที่มีความรู้ มีทีมงานที่ดี และอาจจะต้องเรียนรู้เศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศใหม่ 10.การเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้น จากปัญหาราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น

11.การเตรียมความพร้อมรองรับการทุ่มตลาดสินค้าจากประเทศจีน 12.การเตรียมความพร้อมการตั้งโรงงานที่จะเข้ามา และการป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์จากจีน 13.การเตรียมความพร้อมอารมณ์ของคนที่จะรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการเจรจากับสหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจน ขณะเดียวกันตามเส้นตายในวันที่ 7 ก.ค. นี้ หากยังไม่ได้ข้อสรุปจะทำให้คนส่วนใหญ่มีอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นแน่นอน

14.การเตรียมความพร้อมรองรับผลสืบเนื่องจากการเมือง หากเกิดกรณีวิกฤตเศรษฐกิจหลัง วันที่ 7 ก.ค. นี้ จะมีผลกระทบทางการเมืองแน่นอน และ 15.การหาเสียงของพรรคการเมืองในศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป โจทย์ด้านเศรษฐกิจจะเป็นหัวข้อในการหาเสียงที่สำคัญ การแจกเงินในการหาเสียงจะมีมากขึ้น รวมทั้งการโฆษณาหาเสียงแบบประชานิยมจะมีมากขึ้นแน่นอน