
Moody’s รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 และปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook จาก Stable จากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การปรับลดครั้งนี้เป็นแค่การปรับ Outlook หรือแนวโน้มทิศทางว่ามีแนวโน้มดูแย่ลง แต่ยังไม่เป็นการลดเครดิตเรตติ้ง ทำให้ต้นทุนการเงินและการกู้ยืมเงินยังไม่เพิ่ม
ทั้งนี้ การระบุว่าแนวโน้มแย่ลงเป็นสัญญาณเตือนว่าความเสี่ยงในอนาคตสูงขึ้น และภาครัฐต้องออกนโยบายให้ดีเพื่อให้แนวโน้มกลับไปทิศทางดีขึ้น และลดใช้นโยบายประชานิยมที่หวังแค่ผลระยะสั้น ซึ่งหมายรวมถึงว่าภาครัฐเองก็ต้องออกนโยบายที่ไม่ซ้ำเติมทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยเฉพาะจากภัยคุกคามใหญ่ในปัจจุบัน เช่น นโยบายทรัมป์ รวมทั้งปัญหาเดิมในอดีต เช่น หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง หนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง
ในขณะนี้นโยบายของภาครัฐต้องสามารถแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ลูบหน้าปะจมูก เช่น นโยบายลดแลกแจกแถม ก่อหนี้ที่ไม่ได้สร้างเศรษฐกิจที่แท้จริงให้เติบโตขึ้นได้ในอนาคต
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า Moody's ปรับลด Outlook Credit Rating ไทยเป็น Negative จาก Stable โดยอิงการปรับลดครั้งนี้มาจากเศรษฐกิจไทยเสี่ยงด้านนโยบายภาษีการค้า รวมถึงภาระการคลังที่สูง สะท้อนข้อจำกัดของการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา รูปแบบราชการ เป็นต้น จะเป็นการสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพให้กับประเทศ ส่วนการที่มูดีส์ระบุว่าจุดแข็งไทยคือเรื่องเงินสำรองระหว่างประเทศที่ยังมีสูง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็ง ส่วนจุดที่ปรับลงเพราะมองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบนี้ยังกระทบระยะยาว
เงิน 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งทั้ง IMF และธนาคารโลกลด GDP ไทยลงค่อนข้างมาก ซึ่งล้วนมองสอดคล้องกันที่ว่าเศรษฐกิจของไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์ที่รุนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของไทยยังอ่อนแอจึงได้รับผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่น