
กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันพุธ (30 เมษายน) ว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ในไตรมาสแรกของปีนี้ ติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับจีดีพีไตรมาส 4 ของปี 2567 ที่ขยายตัว 2.4% และเป็นการหดตัวครั้งแรกนับจากปี 2565 แต่ยังน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่า จะหดตัว 0.8%
ปัจจัยที่ทำให้จีดีพีลดลงเป็นผลจากการใช้จ่ายภาครัฐลดลง 5.1%, ยอดใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวเพียง 1.8% ลดลงจาก 4% ในไตรมาสสุดท้าย และยอดนำเข้าพุ่งสูงถึง 41% ซึ่งเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดนับจากปี 2563
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงทันทีหลังรัฐบาลเผยตัวเลขจีดีพี โดยดัชนี Dow Jones ดิ่งลง 400 จุด เมื่อตลาดเปิดการซื้อขาย, ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.5% และ Nasdaq ลดลง 2%
รายงานของกระทรวงพาณิชย์สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างชัดเจนที่สุดนับจากทรัมป์ทยอยประกาศมาตรการขึ้นภาษีศุลกากร ที่มีการชะลอหรือกลับลำหลายครั้ง สร้างความสับสนและความกังวลแก่ธุรกิจและผู้บริโภค แต่ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นช่วงก่อนที่เขาประกาศภาษีตอบโต้ ที่ครอบคลุมทั่วโลกในวงกว้างในต้นเดือนนี้ และยังขึ้นภาษีกับจีนสูงถึง 145% ส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงัก สินค้าจะแพงขึ้นและกระทบต่อผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
นักวิเคราะห์ บอกว่า ยังต้องใช้เวลาอีกระยะเพื่อเข้าใจภาพรวมของผลกระทบจากภาษีอัตราใหม่ และตัวเลขนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น อาจดิ่งลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่การลงทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด และการใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวแม้ช้ากว่าในปี 2567
พีท นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ บอกว่า การหดตัวของเศรษฐกิจเป็นเพราะตัวเลขนำเข้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ โดยธุรกิจต่าง ๆ เร่งเพิ่มสต็อกสินค้าก่อนภาษีจะเริ่มบังคับใช้ แต่หลังจากนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น และตัวเลขในไตรมาสหน้าจะตรงกันข้าม เขายังชี้ให้เห็นว่า ยอดการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 22% ถือเป็นสัญญาณบวก
ขณะที่ทรัมป์โพสต์ในทรูธ โซเชียลในวันนี้ โดยโต้แย้งว่า ตัวเลขหุ้นร่วงเป็นผลจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่เกี่ยวกับนโยบายภาษีของเขา และบอกด้วยว่า เมื่อมาตรการภาษีที่จะเริ่มมีผลบังคับในไม่ช้า บริษัทจะเริ่มกลับมาลงทุนในสหรัฐฯ และขอให้อดทน