svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Business

ครม.ไฟเขียวงบกลาง 998 ล้านบาท อุดหนุน "เบี้ยเด็กแรกเกิด"

ครม. อนุมัติงบกลาง 998 ล้านบาท จ่ายเงินอุดหนุน “เบี้ยเด็กแรกเกิด” เดือนกันยายน 2566 อัตราเดือนละ 600 บาทต่อคน เตรียมส่งกกต.พิจารณาต่อ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 998 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

สำหรับวงเงินงบกลางนี้ จะเป็นการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดต่อเนื่องในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่จัดเงินอุดหนุนให้กับครอบครัวที่มีเด็กแรกเกิด และเป็นผู้มีรายได้น้อย คือ มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคนต่อปี ในอัตราเดือนละ 600 บาทต่อคน 

ทั้งนี้ในปี 2566 พบว่า อัตราเด็กแรกเกิดมีจำนวนมาก สูงกว่าการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำให้งบประมาณที่จัดสรรไว้ในเดือนตุลาคม 2565 - สิงหาคม 2566 มีวงเงินไม่เพียงพอ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงจำเป็นต้องเสนอของบกลางจากครม.เพิ่มเติม

“ครม.ได้อนุมัติวงเงินงบกลางให้กับ พม. เพื่อไปใช้จ่ายเป็นเงินอุดหนุนให้กับครอบครัวที่มีเด็กเล็กอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี รวมทั้งสิ้น 2.25 ล้านคน และในขั้นตอนต่อไปสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะเสนอมติครม.ให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. พิจารณาอนุมัติต่อไป”

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม. ยังรับทราบรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2563 และ 2564 โดยแนวโน้มสถานการณ์เด็กและเยาวชน พบว่า โครงสร้างประชากรเด็กและเยาวชน (อายุ 0-25 ปี) มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง 

โดยในปี 2563 มีจำนวน 20.18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 30.49 จากประชากรทั้งประเทศ 66.19 ล้านคน และปี 2564 มีจำนวน 19.73 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 29.81 จากประชากรทั้งประเทศ 66.17 ล้านคน ซึ่งปี 2564 เป็นปีแรกที่อัตราการเกิดลดต่ำจนน้อยกว่าอัตราการตายเนื่องจากแนวโน้มสภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลงเกิดจากผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานช้าลง

สำหรับสภาพการณ์และแนวโน้มของปัญหาเด็กและเยาวชน แบ่งตามประเภทของเด็กและเยาวชน 6 กลุ่ม สรุปได้ดังนี้

1. ช่วงเด็กปฐมวัย 0-6 ปี เช่น น้ำหนักทารกแรกเกิด โดยในปี 2563 มีจำนวนทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 42,756 คน คิดเป็นร้อยละ 9.52 จากทารกเกิดมีชีพ 449,220 คน และในปี 2564 จำนวนทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 40,098 คน คิดเป็นร้อยละ 9.87 จากทารกเกิดมีชีพ 406,345 คน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563

2. ช่วงเด็กวัย 7-12 ปี เกิดภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนในเด็กวัยเรียน โดยในปี 2563 จำนวน 575,442 คน (จากการสำรวจเด็กวัยเรียน 4.51 ล้านคน) และในปี 2564 จำนวน 456,747 คน (จากการสำรวจเด็กวัยเรียน 4.09 ล้านคน) เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์และปิดโรงเรียนในช่วงโควิด-19 ส่งผลต่อการเข้าถึงอาหารที่โรงเรียนและการเคลื่อนไหวร่างกายตามประสาวัยเด็กอาจเป็นส่วนทำให้มีจำนวนโรคอ้วนในเด็กมากขึ้นได้

3. ช่วงเยาวชน 13-17 ปี พบสภาพการณ์ความขัดแย้งภายในครอบครัวและโรงเรียนจากการแสดงออกทางการเมือง ทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพการแบ่งรุ่น แบ่งวัย และความต่างทางความคิดอย่างชัดเจน รวมถึงปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศและปัญหาการใช้สื่อออนไลน์โดยเฉพาะการติดพนันออนไลน์ที่ยังคงมีเพิ่มมากขึ้น

4. ช่วงเยาวชน 18-25 ปี ถูกปลดออกจากงานและเผชิญกับปัญหาการว่างงานหลังเรียนจบ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการสำรวจในช่วงต้นปี 2563 พบว่า คนในช่วงอายุ 15-24 ปีถูกเลิกจ้างงานเป็นจำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลกและเป็นกลุ่มประชากรที่ตกงานมากกว่าคนในวัยอื่น ๆ โดยในปี 2564 มีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน

5. เด็กและเยาวชนที่ต้องการการคุ้มครองเป็นพิเศษ เช่น เด็กพิการ โดยไทยมีจำนวนเด็กและเยาวชนที่พิการในปี 2563จำนวน 153,708 คน (จากประชากรเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ 19.21 ล้านคน) และในปี 2564 จำนวน 151,163 คน (จากประชากรเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ 19.73 ล้านคน)

โดยเด็กและเยาวชนที่พิการส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวที่ยากจน ไม่ได้เข้าเรียน และเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสจากสถานการณ์โควิด-19 พบปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนการสอนแบบออนไลน์ รวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ การขาดแคลนอาหาร ที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายในครอบครัว

6. เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ โดยเด็กและเยาวชนไทยได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางวิชาการระหว่างประเทศ (คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ) และได้รับเหรียญจากการเป็นนักกีฬาพาราลิมปิกทีมชาติไทย (นักวีลแชร์เรซซิ่งและนักกอล์ฟ)

ส่วนบทสรุปและวิเคราะห์ในเชิงข้อเสนอด้านนโยบายในภาพรวม เช่น ไทยยังขาดระบบการรวบรวมข้อมูลด้านงบประมาณและไม่มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบและกำหนดหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลด้านงบประมาณเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและวิเคราะห์แนวโน้มของการใช้งบประมาณ 

รวมทั้งการออกกฎหมายเชิงป้องกันภัยแก่เด็กและเยาวชนเป็นการเฉพาะเพื่อป้องกันปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชน โดยหน่วยงานทางด้านกฎหมายต้องสามารถบังคับใช้กฎหมายจัดการเอาผิดกับบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีพฤติ กรรมมีแนวโน้มเป็นภัยอันตรายต่อเด็กและเยาวชน