นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)ว่า กกร.คงกรอบกจีดีพีปีนี้โต 3% ถึง 3.5% ส่งออก -1% ถึง 0% และเงินเฟ้อ 2.7 ถึง3.2% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังยังอยู่ในภาวะชะลอตัวจนกว่าประเทศใหญ่อย่างจีนจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐ กิจ
อย่างไรก็ ตามกกร.มีความคาดหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะแล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อที่จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะหากล่าช้าก็จะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน
“ การท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคหนุนเศรษฐกิจไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4 เดือนแรกเข้ามาสูงกว่า 8 ล้านคน และทั้งปีมีศักยภาพที่จะมากถึง 30 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการจ้างงาน"
สำหรับเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปรับขึ้นอีก 0.25% เป็น 2% และมีแนวโน้มว่าจะยังปรับขึ้นต่อไปด้วยเหตุว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้กกร.มีความกังวลโดยเฉพาะในหมวดอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้อาจถูกซ้ำเติมจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรและราคาสินค้าในระยะข้างหน้า และยังรวมถึงแนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจปรับขึ้นเป็น 450 บาทต่อวันที่อาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น 0.82% ถ้าไม่มีการเพิ่มทักษะแรงงานและผลิตภาพแรงงานให้เหมาะสมไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยน
"ภาวะที่ทั่วโลกเผชิญกับปัญหา เอลนีโญในปีนี้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 36,000 ล้านบาท โดย กกร. ได้มีการทำหนังสือส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม2566 เสนอให้เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาว"
นอกจากนี้ที่ประชุม มองว่าปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นตันทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ ภาครัฐควรบูรณาการแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยราคาดีเซลที่การลดภาษีสรรพสามิตลิตรละ 5 บาทจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.นี้ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งผู้ประกอบการ ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันต่อต้นทุนของผู้ประกอบการและครัวเรือน นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจซ้ำเติมต้นทุนผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการบริโภคโดยหากมีความล่าช้าออกไป2-3 เดือนและเกิดสถานการณ์รุนแรง เช่น มีการประท้วง จะกระทบต่อกจีดีพีโตเพียง 2-2.5% ได้รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้รัฐบาลรักษาการอยากเห็นการออกมาตรการดูที่จะลดค่าครองชีพของประชาชนและดูแลต้นทุนผู้ประกอบการเพื่อให้ประคองตัวเองได้
สำหรับตัวเลขส่งออกติดลบติดต่อกัน 7 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อลดลงภาคอุตสาห กรรมเอง 19 อุตสาหกรรมจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงต้องรักษาการผลิตเพื่อประคองการจ้างงาน เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น