svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

EU ดีเดย์ 1 ต.ค. 66 ใช้มาตรการภาษีคาร์บอน แนะผู้ประกอบการปรับตัว ก่อนส่งออก

25 พฤษภาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สศอ. เผย EU เตรียมดีเดย์ บังคับใช้มาตรการภาษีคาร์บอนในวันที่ 1 ต.ค. 66 ชี้กลุ่มสินค้าเหล็ก - อะลูมิเนียม กระทบมากสุด แนะเร่งปรับตัว รองรับมาตรการและต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า มาตรการปรับภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) เป็นหนึ่งในมาตรการภายใต้นโยบายแผนปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) และลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติ ที่มีมาตรการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เข้มข้นน้อยกว่าสหภาพยุโรป
 

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิ

ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนในกระบวนการผลิต ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย พลาสติก และไฮโดรเจน โดยสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้มี 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ พลาสติก เหล็ก และอะลูมิเนียม

ซึ่งในปี 2565 (เดือนมกราคม-ธันวาคม) พลาสติกมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 676 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือสัดส่วน 2.4% เหล็กอยู่ที่ 201 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 0.7% และอะลูมิเนียมอยู่ที่ 111 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 0.4% ของมูลค่าสินค้าที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป 

นอกจากสหภาพยุโรปแล้ว ยังมีประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน (Clean Competition Act: CCA) เพื่อกำหนดราคาคาร์บอนจากสินค้า ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเข้มข้นที่ผลิตในประเทศและจากการนำเข้า CBAM ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569

โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอน CBAM ที่ไทยส่งไปสหรัฐอเมริกามี 2 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลาสติกและอะลูมิเนียม ในปี 2565 (เดือนมกราคม-ธันวาคม) พลาสติกมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 1,245ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือสัดส่วน 2.1% และอะลูมิเนียมอยู่ที่ 884 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน1.5% ของมูลค่าสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐอเมริกา

ดังนั้น ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบ โดยตรงจากมาตรการ CBAM ถึงแม้ปัจจุบันตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกายังไม่ใช่ตลาดหลักที่ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวข้างต้น ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการปล่อยคาร์บอนก็ตาม โดย สศอ. เสนอแนะผู้ประกอบการไทย ที่จะส่งออกสินค้าดังกล่าว ไปยังตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ให้ยังคงสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ จะต้องรายงานปริมาณคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศตามมาตรการ CBAM

รวมถึงเตรียมความพร้อม ด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการวางแผนปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง การจ่ายค่าปรับภาษีคาร์บอนหรือการซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM Certificate) ตลอดจนพัฒนาระบบการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุด พัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมสินค้าวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าสำเร็จรูป และการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการผลิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) หากผู้ประกอบการ สามารถพัฒนากระบวนการผลิต และ การบริการ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ถือเป็นการขับเคลื่อนสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

และเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน กับผู้ส่งออกจากประเทศอื่น ที่ไม่สามารถปรับตัวรองรับตามมาตรการ CBAM ได้ทัน และเตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวรองรับการดำเนินมาตรการ CBAM ของประเทศอื่นที่มีแนวโน้มจะบังคับใช้ในอนาคต เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ เป็นต้น

logoline