svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Health

รู้จัก "Botfly" ตัวอ่อนแมลงฝังใต้ผิวหนัง เข้าใจให้ถูก ป้องกันได้ ไม่ต้องตื่นตระหนก

กรมการแพทย์ชี้แจงกระแสโซเชียลพบตัวอ่อนคล้ายหนอนในคน คือ Botfly ที่พบในอเมริกาใต้ ไม่ใช่แมลงประจำถิ่นไทย แนะรู้เท่าทัน ป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี

KEY

POINTS

  • Botfly คือตัวอ่อนแมลงวันที่พบมากในแถบอเมริกากลางและใต้ ไม่ใช่แมลงที่พบตามธรรมชาติในประเทศไทย ผู้ป่วยในไทยส่วนใหญ่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง
  • ตัวอ่อนเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยการเจาะผิวหนัง หลังจากแม่แมลงวางไข่บนตัวยุงหรือเห็บ เมื่อยุงกัดคน ไข่จะฟักตัวจากความร้อนและฝังตัวใต้ผิวหนัง
  • อาการที่พบคือตุ่มนูนคล้ายฝี มีรูตรงกลางสำหรับหายใจ อาจมีอาการปวดหรือรู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ใต้ผิวหนัง ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
  • การรักษาต้องทำโดยแพทย์เพื่อนำตัวอ่อนออกอย่างถูกวิธี ไม่ควรพยายามบีบหรือดึงออกเองเพราะอาจทำให้ตัวอ่อนแตกและเกิดการอักเสบรุนแรง
  • ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงควรป้องกันโดยใช้สารไล่แมลงและสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด

จากกระแสในโลกออนไลน์ที่มีการแชร์ภาพและคลิป “ตัวอ่อนลักษณะคล้ายหนอนสีขาวอมชมพู” หลายคนเกิดความกังวลว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร อันตรายหรือไม่ และจะเกิดขึ้นกับคนไทยได้หรือเปล่า สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ จึงออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความตื่นตระหนกในสังคม

ตัวอ่อนที่พบคืออะไร

ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ตัวอ่อนที่ปรากฏในข่าวมีลักษณะสอดคล้องกับ Botfly หรือแมลงวันในวงศ์ Oestridae โดยเฉพาะสายพันธุ์ Dermatobia hominis ซึ่งพบได้มากในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เช่น เม็กซิโก เปรู บราซิล

สำคัญที่สุดคือ แมลงชนิดนี้ไม่ใช่แมลงที่พบตามธรรมชาติในประเทศไทย และปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานการแพร่กระจายในประเทศ

ทำไมคนไทยบางรายถึงพบอาการ

นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายว่า เคสที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่ เคยเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง แล้วกลับมาแสดงอาการภายหลัง ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อภายในประเทศ

ดังนั้น ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกินเหตุ

Botfly เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้อย่างไร

นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Botfly ไม่ได้บินมาตอมมนุษย์โดยตรง แต่ใช้วิธีที่ซับซ้อนกว่านั้น

ตัวแม่แมลงจะไปวางไข่ไว้บนแมลงชนิดอื่น เช่น ยุงหรือเห็บ เมื่อแมลงเหล่านั้นบินมาดูดเลือดมนุษย์ ไข่ของ Botfly จะถูกกระตุ้นด้วยความร้อนจากผิวหนัง และฟักตัวทันที ตัวอ่อนจะเจาะผ่านผิวหนังเข้าไปฝังตัว โดยที่ผู้ถูกกัด มักไม่รู้สึกตัวในช่วงแรก

โรค Myiasis คืออะไร

ภาวะนี้เรียกว่า Myiasis (ไมแอสซิส) คือ การที่ตัวอ่อนแมลงอาศัยหรือเจริญเติบโตอยู่ในเนื้อเยื่อของมนุษย์หรือสัตว์ กรณี Botfly จะเป็นชนิดที่เรียกว่า Myiasis แบบฝังใต้ผิวหนัง (Furuncular myiasis)

ลักษณะอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • เป็นตุ่มนูนคล้ายฝีหรือหัวสิว
  • มีรูเล็ก ๆ ตรงกลางผิวหนัง (ใช้เป็นช่องหายใจของตัวอ่อน)
  • ปวด เจ็บ หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรดิ้นอยู่ใต้ผิว
  • อาจมีของเหลวซึม หรือเกิดการอักเสบ
  • ตัวอ่อนจะโตอยู่ใต้ผิวหนังนานประมาณ 2-6 สัปดาห์

อันตรายถึงชีวิตหรือไม่

แพทย์ยืนยันว่า Botfly ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่หากปล่อยทิ้งไว้หรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิด

  • ความเจ็บปวดเรื้อรัง
  • การอักเสบของผิวหนัง
  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

อย่างไรก็ตาม หากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สามารถหายขาดได้ และมักไม่ทิ้งแผลเป็น

วิธีรักษาที่ถูกต้อง

เมื่อสงสัยว่ามีตัวอ่อน Botfly ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่ควรรักษาเอง เพราะเสี่ยงทำให้ตัวอ่อนแตกและอักเสบรุนแรงขึ้น

การรักษาทางการแพทย์มักประกอบด้วย

  • ปิดรูหายใจของตัวอ่อน เช่น ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่
  • ทำให้ตัวอ่อนโผล่ออกมา แล้วใช้เครื่องมือแพทย์ดึงออก
  • หากฝังลึก อาจต้องผ่าตัดเล็ก
  • ให้ยาปฏิชีวนะในกรณีมีการติดเชื้อ
  • ทำแผลอย่างถูกสุขลักษณะ

แพทย์ระบุว่า การรักษามักได้ผลดีและหายขาด

การป้องกันสำหรับผู้ที่ต้องเดินทาง

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศในแถบอเมริกากลาง-อเมริกาใต้ ควรป้องกันตนเองดังนี้

  • ใช้สารกันยุงอย่างสม่ำเสมอ
  • สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายมิดชิด
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีแมลงชุกชุม
  • ตรวจผิวหนังทุกครั้งหลังเดินป่าหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
  • หากพบตุ่มผิดปกติหรือฝีแปลก ๆ ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังทันที

สรุป: รู้เท่าทัน ไม่ตื่นตระหนก

กรณีตัวอ่อน Botfly ที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เป็นเรื่องที่ พบได้น้อยมากในประเทศไทย และส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปต่างประเทศ การมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และรู้วิธีดูแลตนเองอย่างเหมาะสม

หากพบความผิดปกติทางผิวหนัง อย่าคาดเดาเองหรือรักษาเอง การพบแพทย์คือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เพราะในกรณีนี้ การรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น คือกุญแจสำคัญของการหายขาด