
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank โดย “ศูนย์วิจัยและข้อมูล ธพว.” ร่วมกับสำนักวิจัยเศรษฐกิจและประเมินผล บริษัท เอ็กเซลเลนท์ บิสเนส แมเนจเม้นท์ จำกัด ทำการสำรวจ “ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ SMEs ต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ ไตรมาส 4/2568 และคาดการณ์อนาคต” จากกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกประเภทอุตสาหกรรม จำนวน 500 ราย
โดยจัดทำการสำรวจครั้งนี้ มีขึ้นก่อนเกิดสถานการณ์มหาอุทกภัยทางภาคใต้ และสถานการณ์ทางการเมือง พบว่า ความเชื่อมั่นในไตรมาส 4/2568 ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 68.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 3/68 ที่อยู่ระดับ 67.1 ขณะที่คาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นไตรมาส 1/69 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีมุมมองต่อแนวโน้มธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีเพิ่มขึ้นเป็น 75.1 จากไตรมาสก่อน ที่ระดับ 68.9 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น ได้แก่ เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวไฮซีซั่น (High Season) การท่องเที่ยวภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว และความเชื่อมั่นว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไตรมาส 1/69 ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกขนาดธุรกิจและทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อย (Micro) และรายย่อม (Small) ซึ่งมีระดับความเชื่อมั่นสูงที่สุด สะท้อนความคาดหวังต่อการฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีออกมา ภายใต้ภาวะที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ ยังไม่เอื้ออำนวย
องค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นในไตรมาส 1/69 ปรับดีขึ้นเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่พุ่งขึ้นสูงมากจากไตรมาส 4/68 สะท้อนว่า ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเชื่อมั่นและเห็นจังหวะลงทุน หลังเฝ้ารอการฟื้นตัวมานาน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คาดว่าจะเพิ่มการลงทุน คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้า/บริการที่เพิ่มขึ้น และความง่ายในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่วนจุดประสงค์หลักของการลงทุน คือ เพื่อทดแทนเครื่องจักรเก่า/เพิ่มประสิทธิภาพ/ลดต้นทุน
ขณะที่ความต้องการกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจSMEs ในไตรมาส 1/69 เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ รองลงมาคือ สินเชื่อเพื่อลงทุนธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่วางแผนดำเนินธุรกิจในปี 2569 โดยเน้นรักษาระดับการเติบโตของธุรกิจให้ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา มากกว่าจะลงทุนเพื่อหวังการเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลยุทธ์หลักคือ การปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด ควบคู่กับการจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ ผู้ประกอบการมีความกังวลเรื่องต้นทุนวัตถุดิบสูงและเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจในปีหน้า (2569)
นายพิชิต กล่าวเสริมว่า จากผลสำรวจดังกล่าว ที่มีขึ้นก่อนเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติทางภาคใต้ และสถานการณ์ทางการเมือง ทว่า ยังมีความต้องการสินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในไตรมาส 1/2569 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนในระดับที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน รองลงมา คือ สินเชื่อเพื่อการลงทุน และรีไฟแนนซ์ สัดส่วนวงเงินที่ต้องการกู้ แบ่งเป็น รายย่อย (Micro) ต้องการวงเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท รายย่อม (Small) ต้องการวงเงิน 1–5 ล้านบาท และรายกลาง (Medium) ต้องการวงเงินมากกว่า 5 ล้านบาท สะท้อนความต้องการเงินทุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นวงเงินตามขนาดของกิจการอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่วางแผนดำเนินธุรกิจ ปี 2569 เน้นรักษาระดับการเติบโตของธุรกิจให้ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด ควบคู่กับการจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ จากความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีดังกล่าว SME D Bank พร้อมเตรียมให้บริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ได้แก่ ด้าน “การเงิน” สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ 3% ต่อปี ตลอด 3 ปีแรก ได้แก่ 1.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME" 2.สินเชื่อ “SME Green Productivity” และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME" สนับสนุนเอสเอ็มอีทุกกลุ่ม คว้าโอกาสธุรกิจรองรับฤดูกาลท่องเที่ยว นำไปลงทุน ขยาย ปรับปรุง เพื่อผลิตสินค้าและปรับปรุงบริการรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่บริการด้านการพัฒนาครบวงจร ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเสริมแกร่งใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถแจ้งความประสงค์รับบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ได้ ณ สาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357