นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โหวต 99 % อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO จากบริษัท ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.99%
และ ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นรายย่อย จํานวน 1,177,108,000 หุ้น หรือ 34.01% ของหุ้นสามัญที่ออกและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ ESSO ในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้นสามัญ ESSO จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd.
โดยบริษัทฯ จะดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ต่อไป คาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี 2566 ตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้
การเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้ เมื่อแล้วเสร็จ จะเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจาก ที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อเกิดการประหยัดต่อขนาด การลดต้นทุนทางธุรกรรม จะมีการส่งต่อผลประโยชน์ดังกล่าว ให้กับผู้บริโภค ดังที่เคยเป็นมาในช่วงน้ำมันราคาสูงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น สถานีบริการที่เพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง “แบรนด์บางจาก” ได้ง่ายขึ้น
และในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติจัดสรรกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น
"ในช่วงไตรมาส 3-4 คาดว่าจะเข้าซื้อขายและทำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นรายย่อยๆได้แล้วเสร็จ ขณะเดียวกันก็จะทยอยเปลี่ยนโฉมปั๊มนับจากไตรมาส 2 เช่น ทยอยเปลี่ยนโลโก้ คาดว่า ภายใน 3-6 เดือนจะ เปลี่ยนได้ประมาณ 80% คาดว่าจะใช้งบประมาณส่วนนี้เพียงหลักร้อยล้านบาท" นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับราคาหุ้นสุดท้ายที่จะเข้าซื้อ ยังต้อรอการปิดงบการเงิน ซึ่งตามกระบวนการคาดว่า จะใช้ราคาตามงบไตรมาส 2 ปีนี้ ที่ประมาณ 8-9 บาท เงินลงทุนก็คงประมาณ 20,000 -22,000 ล้านบาทโดยประมาณ ส่วนแหล่งเงินทุนจากประมาณการณ์ดีล 55,000 ล้านบาท ยืนยันว่ามีสภาพคล่องดีและมีเพียงพอ โดยในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้ออกหุ้นกู้ 80,000 ล้านบาทด้วย แต่คาดว่าจะดึงมาใช้เพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น