นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ( กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 มี.ค. บอร์ด กกพ.จะมีการประชุมพิจารณาสรุปตัวเลขค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค.66) จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นเพื่อที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
ทั้งนี้เบื้องต้นค่าเอฟทีในงวดนี้มีทิศทางปรับตัวลดลงจากปัจจัยต่างๆ ในการคำนวณต้นทุนมีทิศทางที่ดีขึ้นจากงวดก่อน (มกราคม-เมษายน 2566) ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย จ่ายอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น (ธุรกิจ อุตสาหกรรม บริการ) จ่ายอัตรา 5.33 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณเบื้องต้นค่าไฟฟ้าเฉลี่ยงวดพฤษภาคม-สิงหาคม จะลดลงต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย เบื้องต้นทั้งบ้านและภาคธุรกิจจะเป็นอัตราเดียวกัน ส่วนจะเป็นอัตราเท่าไร ต้องรอผลการประชุมวันที่ 8 มี.ค.ก่อน
สำหรับปัจจัยในการคำนวณค่าเอฟที โดยเฉพาะค่าเงินบาทและราคาน้ำมัน ที่ใช้ ตัวเลขอ้างอิงก่อนเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะ ค่าเงินช่วงนั้นแข็งค่าระดับ 32-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็นผลดีต่อราคานำเข้าเชื้อเพลิง และส่งผลต่อการคำนวณค่าไฟ นอกจากนี้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวตลาดจร (สปอต แอลเอ็นจี) จากงวดที่ผ่านมาราคาอยู่ที่ 30 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 10 กว่าเหรียญต่อล้านบีทียู และปริมาณนำเข้าลดต่ำลง เพราะมีการบริหารก๊าซในอ่าวไทยป้อนให้กับการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ต้นทุนภาพรวมลดลง แต่ยังจำเป็นต้องมองในแง่ภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) ที่แบกรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ไว้ 1.7 แสนล้านบาท กกพ.จึงต้องแบ่งเบา ภาระเหล่านี้ให้กับ กฟผ.ด้วย เพื่อความเป็นธรรมระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้อย่างเหมาะสม
รายงานข่าวจากคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) กล่าวว่า สัปดาห์นี้ในการประชุม กบน. ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน จะติดตามราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกดีเซลว่าจะลดลงได้มากน้อยเพียงใด
หลังจากสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคมยังคงตรึงราคาไว้ที่ 34 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาตลาดโลกยังผันผวนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การจัดเก็บเงินดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากเดิมมากกว่า 5 บาทต่อลิตร เหลือไม่ถึง 4 บาทต่อลิตร
ส่วนแผนการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ได้เห็นชอบบรรจุหนี้สาธารณะเพิ่มเติมอีก 80,000 ล้านบาท เพื่อให้กองทุนน้ำมัน ไปขอกู้กับสถาบันการเงิน วงเงิน 80,000 ล้านบาท สำหรับบริหารสภาพคล่องและดูแลราคาพลังงานให้กับประเทศ คาดว่าจะเริ่มกระบวนการกู้เงินได้ในเดือนมี.ค.-มิ.ย. 66 โดยจะทยอยกู้เงินในวงเงินที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็นและพิจารณาจากสถานะเงินกองทุนเป็นหลัก เพื่อเสริมสภาพคล่องได้อีกส่วนหนึ่ง