นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า จากความต้องการต้นกล้าปาล์มน้ำมันของเกษตรกรที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาต้นกล้าปาล์มน้ำมันในท้องตลาดมีราคาสูงขึ้น 1-2 เท่า ในขณะที่เมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน
โดยปีงบประมาณ 2561-2564 ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี กรมวิชาการเกษตร มีการผลิตและส่งมอบ จำหน่ายเมล็ดงอกแก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงแปลงเพาะกล้ารายย่อยจำนวน 3.54 ล้านเมล็ดงอก คิดเป็นพื้นที่ปลูก 118,000 ไร่ และในปี 2563-2564 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันขยายตัว เพิ่มขึ้นประมาณ 600,000 ไร่
ประกอบกับราคาผลผลิตทะลายปาล์มน้ำมันมีราคาสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2565 ส่งผลให้เกษตรกรมีความต้องการปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 ประเทศไทยมีพื้นที่ให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันจำนวน 6.15 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 18.42 ล้านตัน
รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคม 2565 - มิถุนายน 2567 ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฏร์ธานี ร่วมกับศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันกระบี่ กรมวิชาการเกษตร ได้ตั้งเป้าหมายผลิตเมล็ดงอกจำนวน 1,000,000 เมล็ด เพื่อจำหน่ายให้กับหน่วยงานภาครัฐ และ แปลงเพาะกล้าเอกชน ที่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร
สำหรับแผนการส่งมอบ เมล็ดงอกปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฎร์ธานี จะเริ่มทยอยส่งมอบให้กับผู้ที่ลงทะเบียนจองไว้แล้ว ในช่วงเดือนเมษายน 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การใช้พันธุ์คุณภาพและการจัดการสวนปาล์มน้ำมันที่ดีส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ย จากการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ลูกผสมสุราษฎร์ธานี 13,095-22,905 บาทต่อไร่ต่อปี ขึ้นกับความเหมาะสมของพื้นที่และการจัดการ (ราคาทะลาย 4.50 บาทต่อกก.)
"การซื้อเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ที่ไม่มีคุณภาพ ตรงตามพันธุ์ จะทำให้ผลผลิตไม่ดี และเกษตรกรต้องเสียเวลากว่า 3 ปีถึงจะทราบผล หากเกษตรกรมีข้อสงสัย หรือ ต้องการคำแนะนำ สามารถสอบถามได้จากหน่วยงานในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดต่างๆ ที่มีแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมัน” รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว