วันนี้ผู้นำไทยอุปมาอุปไมยในการแถลงที่เชียงใหม่ในวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ว่า ประเทศไทยเป็นเหมือนรถยนต์ และกล่าวย้ำว่า คนไทยคง "ต้องนั่งรถคันเดียวกันไป จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น เข็นให้มันวิ่ง ดีกว่ามีเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ…"
ถ้าเช่นนั้นแล้ว น่าสนใจว่า "รัฐยานยนต์ไทย" ในสถานการณ์วิกฤตหลายชุดซ้ำซ้อน ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น จะวิ่งไปข้างหน้าได้หรือไม่
เพราะวันนี้คนในสังคมไทยเป็นจำนวนมากมีความสงสัยอย่างเหลือเกินว่า “รถยี่ห้อ คสช.” ที่วิ่งมาตั้งแต่รัฐประหาร พฤษภาคม 2557 ยังวิ่งได้จริงหรือไม่?
หรือว่า "รัฐยานยนต์ไทย" ของรัฐบาลในปัจจุบันเป็น "รถรุ่นเก่า" ที่ขับไปไหนมาไหนไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่
หากสิ่งที่น่าตกใจจากคำอุปมาคือ ต่อให้พวกเราประชาชนลงมาเข็น รถคันนี้ก็อาจจะวิ่งไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องยนต์ เพราะท่านได้ให้กำลังใจแก่พวกเราว่า "เข็นให้มันวิ่ง ดีกว่ามีเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ"
คำกล่าวเช่นนี้จึงเสมือนกับบอกพวกเราว่า “รัฐยานยนต์ไทยไม่มีเครื่องยนต์”
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ยานยนต์ไทยที่ไม่มีเครื่องยนต์คันนี้จะวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร นอกจากพี่น้องประชาชนต้องลงมาช่วยกันเข็น และเข็นไปเรื่อยๆ เพื่อให้บรรดาผู้นำรัฐบาลได้นั่งสบายๆ ในรถนี้ต่อไป
รถที่ปราศจากเครื่องยนต์เช่นนี้ อาจไม่แตกต่างกับกรณีการจัดซื้อรถถังยูเครนในอดีต ซึ่งสุดท้ายแล้วกลายเป็นรถถังที่มีปัญหาเครื่องยนต์ เพราะทางเยอรมนีไม่ส่งมอบเครื่องยนต์ให้ จนเป็นปุจฉามานานว่า รถถังยูเครนชุดนี้ ที่ยังวิ่งได้มีกี่คัน
การจัดหาเรือดำน้ำจากจีนก็เผชิญปัญหาไม่แตกต่างกัน เพราะไม่มีเครื่องยนต์จากเยอรมนีตามข้อตกลง
ภาวะเช่นนี้อาจเป็นภาพสะท้อนถึงความคุ้นชินของผู้นำทหารที่จัดซื้อจัดหา "ยานรบที่ปราศจากเครื่องยนต์" หรือ จีที-200 ก็เป็นการจัดซื้อเครื่องมือสนับสนุนการรบที่ "ไม่มีไส้ใน" ที่เป็นอุปกรณ์การทำงาน อาจไม่ต่างกับรถถังที่มีปัญหาเครื่องยนต์ หรือเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์
อย่างไรก็ตาม ประเทศจะเป็นรถที่ปราศจากเครื่องยนต์ไม่ได้ และถ้าประชาชนต้องมาช่วนกันเข็นแล้ว เราจะต้องเข็นรถที่มีท่านผู้นำนั่งบัญชาการไปอีกนานเท่าไหร่
ยิ่งในภาวะที่ประเทศเผชิญวิกฤตซ้ำซ้อนกัน 5 ชุดใหญ่ๆ ได้แก่ โรคระบาด วิกฤตสงครามยูเครน วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตพลังงาน และวิกฤตอาหาร ผลที่ตามมาอย่างมีนัยสำคัญคือ ราคาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาพลังงานที่สูงขึ้น และราคาอาหารที่สูงขึ้น และปัญหาขนาดใหญ่เหล่านี้ได้กลายเป็น "วิกฤตการเมือง" ในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
และในหลายประเทศ ค่าครองชีพ พลังงาน และอาหารที่มีราคาแพงขึ้นคือ จุดเริ่มต้นของประท้วงต่อต้านรัฐบาล เช่นในกรณีของศรีลังกา เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
คงปฎิเสธไม่ได้ว่า ยิ่งมีวิกฤตใหญ่ คนยิ่งมีความคาดหวังฝีมือในการแก้ปัญหาของรัฐบาล
เพราะโดยหลักการทางรัฐศาสตร์แล้ว ประเทศมีรัฐบาลก็เพื่อทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาของประเทศ ... ไม่เช่นนั้นเราจะมีรัฐบาลไปเพื่ออะไร
ผู้นำรัฐบาลที่ดีจึงต้องไม่กล่าวโทษประชาชนในภาวะที่การแก้ปัญหาของเขาไม่ประสบความสำเร็จ
หากแต่ผู้นำจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าเขาจะเป็น "กัปตันของรัฐนาวา" หรือเป็น "คนขับของรัฐยานยนต์" เขาผู้นั้น มีขีดความสามารถที่จะพายานพาหนะขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ โดยมีชีวิตของประชาชนในประเทศเป็นเดิมพัน
ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราคงต้องยอมรับความจริงประการสำคัญว่า คนในประเทศหลายส่วนไม่ได้รู้สึกว่ารัฐยานยนต์ของพลเอกประยุทธ์มีพลังขับเคลื่อนเดินรถได้ และมีความรู้สึกคล้ายกันว่า พลเอกประยุทธ์ซึ่งเป็นคนขับและถือพวงมาลัยรถคันนี้ มาตั้งแต่รัฐประหาร พฤษภาคม 2557 นั้น
ไม่สามารถพายานยนต์ไทยไม่วิ่งไปไหนได้ อีกทั้ง หลายครั้งในการเดินทาง เราไม่รู้ว่าคนขับจะพาเราไปไหน
และหลายครั้งกลับพบว่า รถวิ่งไม่ค่อยได้มาเป็นระยะพักใหญ่แล้ว เพราะรถคันนี้ใช้เครื่องยนต์แรงม้าต่ำ
แต่วันนี้ท่านผู้นำมาบอกจนตกใจว่า รถไม่มีเครื่องยนต์ และให้พวกเราลงมาช่วยกันเข็น …
คนไทยไม่ใจจืดใจดำจนไม่อยากช่วยเข็น แต่อยากขอเข็นรถที่มีเครื่องยนต์ และถ้าขอได้อีกประการ ก็อยากขอเปลี่ยนคนขับรถด้วย เพราะคนขับคนนี้ขับมานาน และอาจจะเคยขับ "รถบรรทุกทหาร" มาก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าจะขับ "รัฐยานยนต์ไทย" ที่ต้องเป็นรถบรรทุกประชาชนเป็นจำนวนมากได้ไหม …
หรือว่าถึงเวลา ที่จะต้องเปลี่ยนคนขับและเปลี่ยนเอารถที่มีเครื่องยนต์มาใช้
เพราะวิกฤตไทยครั้งนี้ใหญ่มากเกินกว่าที่จะใช้ "คนขับรถทหาร" แบบเก่าแล้ว!