svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

เกาะติด"พรป.พรรคการเมือง"พบการสอดไส้ประเด็น นอกกรอบการแก้ไข ระวังจะเลยธง

18 มีนาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จุดเริ่มต้นของการแก้ไขเพิ่มเติมพรป.พรรคการเมืองมาจากความต้องการแก้ไขประเด็นการเปลี่ยน สัดส่วน สส.เขต/บัญชีรายชื่อ แต่เหตุฉไนเมื่อเข้าสู่กมธ.กลับมีการเพิ่มเติมประเด็นอื่นเข้ามาด้วย ระวังเถิดจะนำไปสู่การยื่นศาลรธน.ว่าขัดต่อรธน.หรือไม่

 

ในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565  มีข้อเสนอร่างแก้ไข พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เข้าสู่การพิจารณา รวม 6 ฉบับ ได้แก่ 1.คณะรัฐมนตรี 2. ทวี  สอดส่อง 3.ชลน่าน  ศรีแก้ว 4.วิเชียร  ชวลิต 5.พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์ 6. อนันต์  ผลอำนวย  

 

ในร่างของรัฐบาลและฝ่ายพรรคร่วม เน้นเฉพาะมาตราที่จะให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่  ส่วนร่างของพรรคฝ่ายค้านได้ถือโอกาสพ่วงประเด็นแอบแฝงเข้ามามากมาย จนทำท่าจะ "เลยธง"”

 

ในที่สุด เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบรับหลักการในวาระที่ 1 เฉพาะของฝ่ายรัฐบาลทั้ง 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1  4  และ 6  ส่วนที่เหลือไม่ผ่านความเห็นชอบ 

 

สาระสำคัญที่เสนอแก้ไขเพิ่มเติมในคราวนี้ มี 11 ประเด็น บางส่วนตกไปแล้วเพราะไม่ผ่านหลักการในวาระที่ 1 แต่ก็ต้องเฝ้าระวังมิให้หลุดลอดสายตาในชั้นกรรมาธิการอีก ได้แก่ 


1.ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค


พรรคฝ่ายค้านเสนอลดอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงที่เรียกเก็บจากสมาชิกพรรคการเมือง( 100 บาท/ปี  2,000 บาทตลอดชีพ)

 

2.ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด

 

ให้สำนักงานตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดทำหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลื่องตั้งสาขาพรรคประจำเขต 

 

3.จำนวนสมาชิกขั้นต่ำและสาขาพรรค

 

ให้ยกเลิกเงื่อนไขจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองขั้นต่ำ 5,000 คน และบังคับให้ขยายเป็น 10,000 คนภายใน 4 ปี  รวมทั้งการตั้งสาขาพรรคการเมืองครบทุกภาค

 

4.การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง

 

ให้ยกเลิกเงื่อนไขบังคับพรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง


5.การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง

 

ยกเลิกระบบการเลือกตั้งขั้นต้น โดยให้ใช้วิธีการรับฟังความคิดเห็นเสนอแนะจากสมาชิกพรรคในเขตเท่านั้นเป็นพอ


6.การสรรหาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ 


ให้แก้ไขเพิ่มเติมวิธีการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ดังนี้ 

 

1)ให้ระบุชัดเจนว่า ผู้มีสิทธิเสนอรายชื่อ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 

 

2)ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเปลี่ยนจากจำนวนไม่เกิน 150 รายชื่อ เป็นไม่เกิน 100 รายชื่อ 

 

3) สมาชิกพรรคการเมืองสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับการสรรหาได้ไม่เกิน 10 รายชื่อ 


7.ความเท่าเทียม


การส่งผู้สมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้คำนึงถึง "ความเท่าเทียมระหว่างเพศ" และความหลากหลายทางเพศ

 

8.ข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัคร


ยกเลิกข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ


9.การจัดสรรเงินสนับสนุนพรรค


ให้จัดสรรเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ตามจำนวนสมาชิกพรรคการเมือง


10.อำนาจในการยุบพรรคการเมือง 


ให้ยกเลิกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง


11.บทกำหนดโทษ


ให้ยกเลิกบทกำหนดโทษการฝ่าฝืนข้อห้ามในการดำเนินการสรรหาผู้สมัคร สส. แบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อ

 

นอกจากรัฐสภาลงมติเห็นชอบรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองทั้ง 3 ฉบับแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาลงมติเห็นชอบให้ใช้ร่าง พรป.ฉบับของนายวิเชียร ชวลิตกับคณะ เป็นหลักในการพิจารณาในวาระที่ 2 ด้วยคะแนนเสียง 309 / 141 แทนที่จะใช้ร่างของ ครม.เป็นหลักกันตามปกติ 

 

มติยังได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ เป็นผู้พิจารณาควบคู่กันไป กำหนดแปรญัตติภายใน 15 วัน

 

น่าสังเกตุว่า การแก้ไขเพิ่มเติม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ตามที่เสนอกันมา รวมทั้งที่อภิปรายกันมีการแตกประเด็นออกไปอีกมาก ทั้งๆที่จุดเริ่มต้นของการแก้ไขเพิ่มเติม พรป.ในครั้งนี้ มาจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 83  86  และ 91 ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน สัดส่วน สส.เขต/บัญชีรายชื่อ จาก 350/150 เป็น 400/ 100 และเปลี่ยนระบบบัตรลงคะแนนจากใบเดียวเป็นระบบบัตรสองใบ เท่านั้น

 

อาจกล่าวได้ว่า ประเด็นที่เสนอเข้ามาส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่ "อาศัยโดยสาร" เข้ามากันมากมาย จนดูจะเกินขอบเขตดังกล่าวไปไกล  ดังนั้นถ้าหากว่ากรรมาธิการหรือรัฐสภาเกิดใช้เสียงข้างมากลากไปจนถึงขั้น "เลยธง"  ดังกล่าว ก็เป็นไปได้ที่จะมีกลุ่มประชาชน องค์กร หรือสถาบันที่เกี่ยวข้อง ทำการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย 

 

จึงควรที่สังคมจะได้ช่วยกันจับตาและติดตาม อย่างรู้เท่าทัน.

logoline