
15 สิงหาคม 2568 จากแม่ทัพอีสานป๊อป พล.ท.บุญสิน ถึงตำนาน “ป๋าเปรม-บิ๊กซัน” ขุนศึกที่ราบสูง ขวัญใจมหาชนยุคสงครามเย็น
วิกฤตการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา พ.ศ.นี้ จุดไฟชาตินิยมลุกพรึ่บ กระแสไหลลามสู่เจน Z เจน Alpha ชนิดคาดไม่ถึง
ปรากฏการณ์ “แม่ทัพมนต์แคน” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง อาจทำให้นักประชาธิปไตยบางกลุ่มรู้สึกไม่สบายใจนัก
พวกเขาหวั่นว่า กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม จะกลายเป็นใบเบิกทางให้ “อำนาจพิเศษ” เข้ามาจัดการบ้านเมืองเหมือนในอดีต
ภาพนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่งเสียงกรี๊ดต้อนรับ “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน น่าจะเป็นคำตอบในกรณีชาวเน็ตเสนอ “ต่ออายุราชการ” ให้บิ๊กกุ้งและเรียกร้องให้รัฐบาลเชิญมาเป็น “รมว.กลาโหม”
หากเปรียบเทียบเหตุการณ์การสู้รบไทย-กัมพูชา ปี 2554 เวลานั้น พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร (ยศขณะนั้น) เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งทหารไทยก็เอาชนะทหารกัมพูชา ด้วยศักยภาพของปืนใหญ่ 155 มม. แต่ก็ไม่มีปรากฏการณ์แม่ทัพฟีเวอร์ เหมือน พล.ท.บุญสิน
มีนักสังเกตการณ์ทางการเมืองวิเคราะห์ว่า กระแสแม่ทัพกุ้ง น่าจะมาจากประเด็นการเมืองเรื่องคลิปหลาน-อา ซึ่งผู้คนมองว่าแม่ทัพโดนฝ่ายการเมืองใส่ร้าย จึงลุกขึ้นมาปกป้องกองทัพภาคที่ 2
หากพลิกตำนานแม่ทัพภาคที่ 2 จากคนที่ 1 พล.หลวงวีระโยธา (วีระ วีรโยธา) ปี 2499 จนถึงคนที่ 44 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ก็มีแม่ทัพอีสานเพียง 2 คนเท่านั้นที่ได้ชื่อว่า เป็นแม่ทัพขวัญใจมหาชน
คนแรกคือ พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ (ยศขณะนั้น) แม่ทัพภาคที่ 2 (2517-2520) และอีกคนหนึ่งไม่ได้เป็นแม่ทัพภาค แต่ผลงานประทับใจคนอีสานคือ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก (ยศขณะนั้น) รองแม่ทัพภาคที่ 2 (ปี 2522-2523)
ทั้ง “ป๋าเปรม” และ “บิ๊กซัน” เป็นขุนศึกอีสานยุคสงครามเย็น และเป็นขวัญใจเจนเบบี้บูมเมอร์ ที่มีบริบทสังคมการเมืองแตกต่างจากยุค “แม่ทัพกุ้ง” ในวันนี้
จุดเปลี่ยนในชีวิตทหารของ พล.ต.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า (ยศและตำแหน่งขณะนั้น) คือการย้ายไปดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อ 1 ต.ค.2516
สถานการณ์การเมืองยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ส่งผลให้การต่อสู้ในเขตป่าเขาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)เติบใหญ่ขยายตัว โดยเฉพาะภาคอีสาน
“ป๋าเปรม” ในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 2 จึงปักหลักบัญชาการรบที่กองทัพภาคที่ 2 (ส่วนหน้า) จ.สกลนคร
เวลานั้น คณะเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 ได้นำเสนอยุทธศาสตร์ “บ้านล้อมป่า” เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยเน้นการพัฒนาที่หมู่บ้าน และส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรมวลชนคือ “ไทยอาสาป้องกันชาติ” (ทสปช.)
เมื่อ “ป๋าเปรม” เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 จึงได้นำแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้เป็นยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร” และนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงเมื่อต้นปี 2518
ปี 2523 พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงออกคำสั่งที่ 66/2523 เรื่องนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยการรุกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ
ชัยชนะของกองทัพต่อ พคท. โดยยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร ได้นำประเทศไทยไปสู่การปรองดองชาติ และดับไฟสงครามประชาชน
ยุคการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เป็นขุนศึกอีสานที่ครองใจประชาชนแถวอีสานเหนือ โดยเฉพาะ จ.เลย และ จ.อุดรธานี
สมัยที่ “พ.อ.อาทิตย์” (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมผสมที่ 23 จ.เลย ได้ยึดถือหลักการเมืองนำการทหาร และชักนำประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมปกป้องท้องถิ่นของตนเอง
จากนั้น “บิ๊กซัน” ขยับขึ้น ผบ.กองพลที่ 3 และเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งช่วงนั้น พล.อ.อาทิตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการปราบปราม “กบฏเมษาฮาวาย” ที่พยายามโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.เปรม
ผลงานการปราบกบฏเมษาฮาวาย ทำให้ พล.อ.อาทิตย์ ขยับจากรองแม่ทัพภาคที่ 2 ก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. ภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่งได้
ในชีวิตราชการของ พล.อ.อาทิตย์ เป็นทั้ง ผบ.ทบ.ควบ ผบ.สส. ซึ่งมีนายทหารบางกลุ่มหนุนให้รัฐประหาร “บิ๊กซัน” กลับเลือกที่จะอยู่ในกติกา ไม่ทำลายระบอบประชาธิปไตย
หลังจากเกษียณอายุราชการ พล.อ.อาทิตย์ เข้าสู่แวดวงการเมือง โดยการตั้ง “พรรคปวงชนชาวไทย” ตามแนวคิดทหารประชาธิปไตย โดยส่งผู้สมัคร สส.ในภาคอีสานเป็นหลัก
ผลการเลือกตั้ง 24 ส.ค.2531 ปรากฏว่า พรรคปวงชนชาวไทย ได้ สส. เข้าสภา 17 คน โดยเป็น สส.หน้าใหม่ ที่ได้รับชัยชนะจากกระแส “บิ๊กซันฟีเวอร์” ในภาคอีสาน