
ในตอนที่แล้วเราเล่าถึงผลงานศิลปะที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นเหนือจริงไปแล้ว ในตอนนี้เราเลยขอหวนคืนสู่สามัญ ด้วยการเล่าถึงผลงานศิลปะอันเรียบง่าย ปกติธรรมดา อย่างภาพเหมือนบุคคลกัน แต่อันที่จริง ภาพเหมือนบุคคลที่เราจะพูดถึงในตอนนี้ก็ไม่ใช่ภาพเหมือนบุคคลธรรมดาๆ หากแต่เป็นภาพเหมือนบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก อันเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า เรมบรันต์ ฟาน ไรน์ (Rembrandt van Rijn) จิตรกร, นักวาดภาพลายเส้น, และศิลปินภาพพิมพ์ชาวดัตช์ ผู้เป็นปรมาจารย์และนักบุกเบิกในการทำงานศิลปะหลากแขนง เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก และเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะดัตช์
เขามีชีวิตและทำงานอยู่ในช่วงเวลาแห่งความมั่งคั่งและรุ่งโรจน์ทางศิลปวัฒนธรรมดัตช์ ที่ถูกเรียกขานว่า ‘ยุคทองเนเธอร์แลนด์’ (Dutch Golden Age) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานจิตรกรรม ซึ่งส่งอิทธิพลต่อพัฒนาการและความก้าวหน้าของงานจิตรกรรมในยุโรปยุคต่อๆ มาอย่างมหาศาล
เรมบรันต์เป็นศิลปินผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ เขาใช้เทคนิคอันหลากหลาย และคิดค้นพัฒนารูปแบบการทำงานอันแปลกใหม่ ด้วยทักษะในการใช้ฝีแปรงอันละเมียดละไมและหยาบกระด้างอย่างจงใจ เพื่อสร้างความสมจริงอันสุดยอด รวมถึงสอดแทรกพลังความเคลื่อนไหวแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ลงในภาพวาดของเขา
เรมบรันต์เป็นจิตรกรผู้ขึ้นชื่อในการใช้สีสันอันหนักแน่นและการใช้องค์ประกอบที่สร้างขึ้นจากการผสมผสานระหว่างแสงและเงาอย่างมีจังหวะจะโคน ผนวกกับฝีแปรงอันอิสระและกระฉับกระเฉงในการสร้างมิติสะท้อนบุคลิกลักษณะภายในของคนที่เป็นแบบและใส่ชีวิตลงไปในภาพที่เขาวาด
เรมบรันต์ยังเป็นที่รู้จักจากความสามารถอันเอกอุ ไม่เพียงในการวาดภาพเหมือนบุคคลอันสมจริงอย่างยิ่ง หากแต่ยังสามารถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้ง ไปจนถึงความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบ และความเสื่อมโทรมของมนุษย์ออกมาในภาพวาดของเขาได้อย่างน่าทึ่ง
เขาเชื่อว่าอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ และมักจะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและประสบการณ์ในชีวิตของผู้คนต่างๆ ลงไปในภาพที่เขาวาด ไม่ว่าภาพนั้นจะเป็นภาพวาดบุคคล, ภาพวาดในเชิงประวัติศาสตร์, ศาสนา หรือภาพวาดสะท้อนสังคมก็ตามที
ในช่วงยุคทองของเนเธอร์แลนด์ การวาดภาพบุคคลกลายเป็นที่นิยมอย่างมาก จากการเปิดเส้นทางการค้าระหว่างประเทศใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมอันแปลกใหม่จากต่างประเทศ รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทำให้พ่อค้าวาณิชและชนชั้นกลางมีฐานะมั่งคั่งขึ้นจนสามารถจ้างวานให้ศิลปินวาดภาพของตัวเองมาประดับบ้าน หรือภาพหมู่เพื่อประดับอาคารสำนักงาน เรมบรันต์เป็นหนึ่งในนักวาดภาพบุคคลที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังที่สุดในช่วงเวลานั้น
จากความสามารถในการจับเอาความแตกต่างทางบุคลิกภาพและอารมณ์ความรู้สึกอันเฉพาะตัวของคนในภาพวาดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบจนยากจะหาใครเสมอเหมือน ที่สำคัญคือ เรมบรันต์จะไม่พยายามวาดให้คนดูสวยงามเกินกว่าที่พวกเขาเป็น หากแต่วาดพวกเขาให้ออกมาเป็นอย่างที่พวกเขาเป็นจริงๆ นั่นทำให้ภาพวาดของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ไร้การเสแสร้ง แทนที่จะประจบเอาใจผู้ว่าจ้างให้เขาวาดภาพ เรมบรันต์กลับวาดให้พวกเขาดูเป็นมนุษย์จริงๆ มากกว่า
นอกจากวาดภาพเหมือนของคนอื่นแล้ว เรมบรันต์ยังเป็นศิลปินที่มีชื่อเลื่องลือในการวาดภาพเหมือนของตัวเองในแต่ละช่วงอายุ ตั้งแต่วัยหนุ่มจนวัยชรา ราวกับเป็นการบันทึกชีวประวัติของตัวเอง เช่นเดียวกับตอนที่เขาวาดภาพให้คนอื่น ไม่ว่าเขาจะวาดตัวเองในช่วงเวลาไหน เขาก็ใช้ภาพวาดของเขาสำรวจและวิจารณ์ตนเองอย่างจริงใจ และไม่โอ้อวดเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย นอกจากภาพวาดสีน้ำมันแล้ว เรมบรันต์ยังเป็นศิลปินภาพพิมพ์ผู้มีบทบาทในการยกระดับงานภาพพิมพ์ให้กลายเป็นศิลปะที่ได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะงานภาพพิมพ์โลหะ (etching) อีกด้วย
และหนึ่งในภาพหมือนบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุด ที่ได้รับการยกให้เป็นผลงานชิ้นเอกของเรมบรันต์ก็คือผลงานที่มีชื่อว่า The Night Watch (1642) (ผู้รักษาความสงบยามค่ำคืน) ภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ถึง 3.63 x 4.37 เมตร ซึ่งเป็นภาพหมู่บุคคลที่เรมบรันต์ถูกว่าจ้างโดย ร้อยเอก ฟรันซ์ บันนิง โกก (Frans Banninck Cocq) และสมาชิกของกลุ่ม Kloveniers หรือกองกำลังพลเมืองติดอาวุธ อาสาสมัครผู้ปกป้องเมืองแห่งอัมสเตอร์ดัม ให้วาดภาพหมู่ของสมาชิกในกลุ่ม
เรมบรันต์วาดภาพนี้ขึ้นตอนที่เขาอายุเพียง 36 ปีเท่านั้น ภาพวาดนี้เป็นผลงานชิ้นแรกๆ ที่สร้างชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ และส่งให้เขากลายเป็นจิตรกรที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น มันเป็นภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะในการวาดภาพที่จับเอารายละเอียดทางอารมณ์อันท่วมท้นของผู้คนแสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและภาษากาย แต่ในขณะเดียวกันก็สำรวจไปถึงจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพวาดนี้ก็คือ The Night Watch เป็นภาพวาดแรกๆ ในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่จับจังหวะภาพในห้วงเวลาฉับพลันในห้วงขณะที่เหล่านายแบบ(และนางแบบ)ไม่ได้หยุดนิ่งยืนเต๊ะท่าให้วาดภาพแบบสง่าๆ แต่มีอากัปกิริยาเหมือนอยู่ในจังหวะเผลอตัวหรือเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่างอยู่ (พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับภาพถ่ายแบบ snapshot นั่นแหละ)
เรมบรันต์ทดลองเทคนิคการวาดแบบนี้เพื่อให้ภาพวาดดูมีชีวิตชีวามากกว่าภาพวาดเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป จะว่าไปก็เป็นการเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่เขาทำแบบนี้ในการวาดภาพว่าจ้าง เพราะถ้าผู้ว่าจ้างไม่ชอบก็น่าจะมีปัญหาใหญ่เอาการ แต่โชคดีที่ผู้ว่าจ้างเกิดถูกอกถูกใจ ก็เลยรอดตัวไปอะนะ
เดิมทีภาพนี้มีชื่อจริงว่า Militia Company of District II under the Command of Captain Frans Banninck Cocq หรือ The Shooting Company of Frans Banning Cocq and Willem van Ruytenburch ส่วนชื่อที่ติดปากคนอย่าง ‘The Night Watch’ นั้น ความจริงเกิดจากความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงของนักประวัติศาสตร์ ที่คิดว่าฉากที่เกิดขึ้นในภาพเป็นเวลากลางคืน หากแต่ความเป็นจริงแล้ว ภาพวาดนี้เป็นฉากในเวลากลางวันต่างหาก แต่ความมืดในภาพนี้เกิดจากคราบฝุ่น การซ่อมแซมที่ย่ำแย่ และการลงน้ำมันเคลือบเงาหนาหนักหลายชั้นของนักสะสม เพื่อปกป้องภาพเขียนจากกาลเวลาและความเสียหายต่างๆ และเพื่อเป็นการปิดบังฝีแปรงอันอิสระของเรมบรันต์จากนักวิจารณ์ ที่มักจะคิดว่าสไตล์ของเขาเหมือนภาพวาดไม่เสร็จ ด้วยการวาดภาพที่ใช้ฝีแปรงหยาบกระด้างรุนแรง เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ไม่วาดเกลี่ยฝีแปรงลงรายละเอียดในบางจุดของภาพ หรือแม้แต่ปล่อยให้บางจุดของภาพมีร่องรอยเหมือนภาพร่างที่ยังวาดไม่เสร็จ (ดูภาพสุนัขตรงมุมขวาล่าง) ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานที่ก้าวล้ำเกินไปจนไม่เป็นที่ยอมรับในยุคสมัยนั้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพวาดนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด เมื่อนั้น สีสันอันสดใสและแสงสีในยามกลางวันอันเจิดจ้าที่แท้จริงของภาพจึงได้เปิดเผยออกมา
มีเรื่องที่น่าเสียดายอีกประการเกี่ยวกับภาพวาดภาพนี้ก็คือ ภาพวาดในยุคสมัยนั้น ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าภาพวาดที่คนมีเงินจ้างให้จิตรกรวาดขึ้นเพื่อเอาไว้แขวนประดับอาคารบ้านเรือน ปราสาท ราชวัง คฤหาสน์ หรือแม้แต่อาคารสำนักงานต่างๆ ภาพวาดไม่ได้เป็นผลงานศิลปะล้ำค่าอย่างในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ The Night Watch จึงเคยถูกเจ้าของที่ซื้อต่อมาอีกทอด ตัดเฉือนขอบของภาพทั้งสี่ด้านออกไปหลายนิ้ว เพื่อให้แขวนโชว์อยู่ระหว่างเสาสองต้นของอาคารศาลาว่าการเมืองอัมสเตอร์ดัมได้ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติในยุคก่อนศตวรรษที่ 19)
ผลลัพธ์ก็คือ บุคคลที่เป็นองค์ประกอบทางซ้ายของภาพหายไปสองคน และภาพก็สูญเสียมิติทั้งความกว้างและความลึกไป ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็คือ ไม่มีใครค้นพบขอบภาพที่ถูกตัดออกไปอีกเลยจวบจนทุกวันนี้
กว่าที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะรุ่นหลังจะรู้ว่าภาพนี้ถูกเฉือนออกไป ก็ตอนได้เห็นภาพเต็มที่ศิลปินดัตช์ในศตวรรษที่ 18 อย่าง เฆอร์ริตต์ ลุนเดนส์ (Gerrit Lundens) จิตรกรชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 18 ที่คัดลอกภาพวาดจริงของของเรมบรันต์ ออกมาในขนาดที่เล็กกว่าภาพจริงมาก (ภาพวาดจริงมีขนาด 3.63 x 4.37 เมตร ส่วนภาพก็อปปี้มีขนาดเท่ากับโปสเตอร์เท่านั้นเอง) โดยลุนเดนส์วาดขึ้นในปี 1642-1655 ในช่วงที่ภาพจริงเพิ่งวาดเสร็จใหม่ๆ
แถมแสงสว่างอันจัดจ้านในภาพวาดก็อบปี้ภาพนี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เดิมทีภาพต้นฉบับภาพนี้วาดเป็นฉากตอนกลางวัน ไม่ใช่ฉากตอนกลางคืนอย่างที่ชื่อภาพนี้อ้างเอาไว้เสียหน่อย!
ภาพ The Night Watch ของจริง ในปัจจุบันก็กลายเป็นภาพวาดชิ้นเอกของโลก และเป็นผลงานศิลปะอันล้ำค่าที่สุดที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไรจ์คส์ หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม (Rijksmuseum) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
ส่วนภาพวาดก็อปปี้ที่ว่านั้นถูกจัดแสดงอยู่ในหอศิลป์แห่งชาติ กรุงลอนดอน แต่ในช่วงเวลาที่เราไปชมผลงาน The Night Watch ของจริง ภาพวาดก็อปปี้ชิ้นนี้ก็ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ไรจ์คส์เคียงคู่กับภาพวาด The Night Watch ของจริง ให้เราได้เปรียบเทียบกันแบบจะจะนั่นเอง
ปฏิบัติการณ์ Night Watch
ปัจจุบัน ภาพวาด The Night Watch มีอายุเกือบ 400 ปีแล้ว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลรักษาภาพวาดนี้ให้คงสภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากการวิจัยเป็นเวลาสองปีครึ่ง การเริ่มต้นดูแลรักษาภาพวาดนี้ก็เริ่มต้นขึ้นในปี 2022 โดยในช่วงเวลานี้มีการตรวจสอบผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนที่มีต่อผืนผ้าใบของภาพวาด เพื่อค้นหาวิธีการอันเหมาะสมที่จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อภาพวาด
ด้วยความที่ในพื้นที่จัดแสดงรอบๆ ภาพวาด The Night Watch นั้นมีความเคลื่อนไหวของอากาศ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากความเคลื่อนไหวของผู้เข้าชม หรือจากเครื่องปรับอากาศ และด้วยความที่พื้นผิวของภาพวาดค่อนข้างมีขนาดกว้างใหญ่ ภาพวาดจึงเกิดการสั่นสะเทือนจากกระแสการเคลื่อนไหวของอากาศในห้อง ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่แรงสั่นสะเทือนก็อาจเทียบได้กับแรงลมปะทะผ้าใบเรือใบ ผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์ไรจ์คส์ จึงใช้อุปกรณ์พิเศษในการวัดแรงสั่นสะเทือนด้วยเลเซอร์ และใช้อุปกรณ์กระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้าค่อยๆ เคาะแท่งโลหะที่ติดตั้งบนตะเข็บด้านข้างผืนผ้าใบ และใช้แสงเลเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือนบนผ้าใบ หลังจากได้ค่าแรงสั่นสะเทือนแล้ว ทางผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์ก็จะเลือกมาตรการที่เหมาะสมในการติดเครื่องลดแรงสั่นสะเทือนด้านหลังผืนผ้าใบนั่นเอง
เรมบรันต์ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม?
เกร็ดเล็กๆ อีกประการเกี่ยวกับผลงานของเรมบรันต์ก็คือ ด้วยความที่เขาเป็นศิลปินระดับปรมาจารย์ผู้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายหลายสิบคนในสตูดิโอขนาดใหญ่ และเหล่าบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นก็ต้องเป็นลูกมือช่วยเรมบรันต์ผลิตผลงาน รวมถึงพากเพียรวาดภาพเลียนแบบสไตล์ของอาจารย์เพื่อเป็นการฝึกฝีมือ ซึ่งเจ้า ‘งานฝึกฝีมือ’ เหล่านี้นี่เอง ที่กลายเป็นภาพวาดราคาย่อมเยาสำหรับนักสะสมระดับรองๆ ที่ต้องการครอบครองผลงานของเรมบรันต์ แต่มีเบี้ยน้อยหอยน้อยเกินกว่าจะซื้อผลงานของแท้ได้
ปัญหาก็คือ ในเวลาต่อมา ผลงานของลูกศิษย์เหล่านั้นหลายชิ้นตกอยู่ในมือของพ่อค้างานศิลปะชาวอัมสเตอร์ดัมที่เอามันออกไปขายเสมือนเป็นผลงานของเรมบรันต์จริงๆ และบางครั้งบางคราวก็มีการเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยการใส่ลายเซ็นปลอมของเรมบรันต์ลงไปในภาพเหล่านั้น
ร้อยปีก่อน มีผลงานประมาณ 700 ชิ้นถูกเข้าใจว่าเป็นผลงานของเรมบรันต์ แต่ตอนนี้ตัวเลขลดลงมากกว่าครึ่ง เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะส่วนใหญ่ได้ใช้เวลาหลายต่อหลายปีในการพิสูจน์จนพบลักษณะที่แตกต่างกัน (แม้เพียงเล็กน้อย) ระหว่างงานของผู้เป็นอาจารย์กับงานของลูกศิษย์ โชคร้ายตกเป็นของเจ้าของภาพกำมะลอบางคนที่จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้ผลงาน (ที่ดูเหมือนภาพวาดของแท้) ซึ่งก็หมายถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นที่ผู้ครอบครองภาพวาดที่แท้จริงจะได้รับอีกด้วย
ทุกวันนี้ราคาของภาพวาดของแท้ของเรมบรันต์ และงานที่ทำขึ้นโดยลูกศิษย์ของเขาก็มีความแตกต่างกันลิบลับ แม้แต่พิพิธภัณฑ์ศิลปะยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง เดอะเม็ท (The Metropolitan Museum of Art, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิแทน) ก็ยังเคยครอบครองภาพวาดถึง 42 ภาพซึ่งเคยถูกเชื่อว่าเป็นผลงานเรมบรันต์ของแท้ แต่ตอนนี้ภาพวาดเหล่านั้นถูกพิจารณาว่าเป็นของเทียม มีเพียงสองภาพเท่านั้นที่มีเอกสารดั้งเดิมและข้อมูลอันน่าเชื่อถือได้ที่สามารถสืบสาวความเป็นของแท้จากมือศิลปินผ่านนักสะสมหลายต่อหลายรุ่นมาเป็นเวลากว่า 350 ปีแล้ว
หรือภาพวาดที่เคยเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของเรมบรันต์อย่างภาพวาด The Man with the Golden Helmet (1650) เอง ในปัจจุบันก็ได้รับการพิจารณาว่าไม่ได้เป็นผลงานของเรมบรันต์อีกต่อไป หากแต่น่าจะเป็นผลงานของลูกศิษย์คนหนึ่งของในสตูดิโอของเขามากกว่า
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่ในช่วงบั้นปลาย เรมบรันต์กลับประสบกับปัญหาทางการเงินและวิกฤตส่วนตัวรุมเร้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นศิลปินที่ได้รับการนับหน้าถือตา และเป็นปรมาจารย์คนสำคัญ ผู้ฝึกสอนลูกศิษย์ที่จะกลายเป็นศิลปินชาวดัตช์คนสำคัญในภายหลังอีกหลายคน ศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง โอกุสต์ เรอนัวร์ (Auguste Renoir) ยกย่องว่าเรมบรันต์เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่ยากจะหาใครเสมอเหมือน ศิลปินร่วมชาติรุ่นหลังอย่าง วินเซนต์ แวน โก๊ะห์ (Vincent van Gogh) กล่าวว่า เรมบรันต์เป็นศิลปินผู้ขุดลึกลงไปยังความลึกลับมหัศจรรย์ที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดในภาษาใดๆ ได้ ราวกับเป็นผู้วิเศษ
ถึงกระนั้น ทุกวันนี้ผลงานของเรมบรันต์ยังคงเป็นองค์ประกอบอันสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของศิลปะวัตนธรรมดัตช์ และเป็นมรดกทางศิลปะอันยิ่งใหญ่ ที่ส่งแรงบันดาลใจให้ศิลปินและคนทำงานสร้างสรรค์รุ่นหลังอย่างนับไม่ถ้วน จวบจนทุกวันนี้
ข้อมูลอ้างอิง