
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คือหนึ่งในทีมกีฬาไทยที่ไปสร้างชื่อบนเวทีโลกได้อย่างมากมาย ทั้งที่ถูกปรามาสมาตลอดว่า คนไทยไม่เก่งกับการเล่นกีฬาประเภททีม
โดยเฉพาะในยุคของ "7 เซียน" ที่ประกอบไปด้วย “หน่อง” ปลื้มจิตร ถินขาว, “ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ, “อร” อรอุมา สิทธิรักษ์, “แจ๊ค” อำพร หญ้าผา, “ปู” มลิกา กันทอง, “กิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญาพงศ์ และ “นา” วรรณา บัวแก้ว ถือเป็นยุคทองของวงการตบลูกยางสาวไทย ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในศึกเวิลด์กรังด์ปรีซ์, แชมป์เอเชีย, แชมป์เอวีซี คัพ หรือในเอเชียนเกมส์
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา และในปี 2565 ก็ถึงเวลาที่นักตบสาว "7 เซียน" จะต้องอำลาทีมชาติและเปลี่ยนผ่านสู่สายเลือดใหม่ จนหลายคนหวั่นว่าวอลเลย์บอลสาวไทย จะเข้าสู่ยุคตกต่ำ หรือไม่ดีดังเดิม
อย่างไรก็ตามในที่สุดทีมวอลเลย์บอลสาวไทยยุคใหม่ ก็ได้พิสูจน์ให้ได้เห็นว่าพวกเธอโชว์ผลงานไม่ด้อยไปกว่านักกีฬารุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็น ปิยะนุช แป้นน้อย, อัจฉราพร คงยศ, ชัชชุอร โมกศรี, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, พรพรรณ เกิดปราชญ์, ทัดดาว นึกแจ้ง หรือ หัตถยา บำรุงสุข โดยพวกเธอนำเอาความกดดันต่าง ๆ เหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาฝีมือ และสร้างผลงานพิสูจน์ตัวเองให้แฟนๆ วอลเลย์บอลไทยยอมรับว่าพวกเขาก็มีดีไม่แพ้รุ่นพี่ 7 เซียนอยู่เช่นกัน
สรุปผลงาน "วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย" ในปี 2565
ซีเกมส์
ทัพนักตบลูกยางสาวไทยลงแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่เวียดนามในฐานะ เต็ง 1 และก็โชว์ฟอร์มสมราคา ด้วยการเก็บชัยชนะได้ทุกนัดตลอดทัวร์นาเมนต์แบบเสียไปแค่เซตเดียว เริ่มจากชนะฟิลิปปินส์ 3-0 เซต, ชนะอินโดนีเซีย 3-0 เซต, ชนะ เวียดนาม 3-1 เซต, ชนะมาเลเซีย 3-0 เซต ปิดท้ายด้วยการชนะเวียดนามในนัดชิงเหรียญทอง 3-0 เซต คว้าแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 13 ติดต่อกัน และเป็นแชมป์ครั้งที่ 15 ในประวัติศาสตร์ของทีมหญิง
เนชั่นส์ ลีก
สําหรับทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยถือว่าได้สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบไฟนอล 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกได้อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้นักกีฬาสายเลือดใหม่ที่ก้าวขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ 7 เซียนได้อย่างไร้รอยต่อ และผนึกกำลังสร้างผลงานอันน่าประทับใจกระหึ่มสังเวียนโลกในศึกเนชั่นส์ ลีก ครั้งนี้
วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย จบการแข่งขันรอบแรกทั้ง 3 สัปดาห์ ด้วยสถิติชนะ 5 แพ้ 7 โดยสร้างความฮือฮาด้วยการเอาชนะทีมระดับท็อปของโลกอย่าง เซอร์เบีย 3-2 เซตในสัปดาห์แรก ก่อนจะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ตุรกี ซึ่งสุดท้ายแม้จะพ่ายไป 1-3 เซต แต่ก็เป็นผลงานที่ทำให้กระแส "วอลเลย์บอลฟีเวอร์" เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เอวีซีคัพ
ช่วงปลายเดือน ส.ค. วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย กลับมาลงสนามอีกครั้งในศึก เอวีซี คัพ ที่ฟิลิปปินส์ โดยรอบแรกมีสถิติชนะ 2 แพ้ 1 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อย่างไร้ปัญหา ก่อนจะมาปราบเจ้าภาพ ฟิลิปปินส์ 3-1 เซต แต่สุดท้ายก็มาพ่าย ทีมชาติจีน ในรอบรองชนะเลิศ แบบหวุดหวิด 2-3 เซต ต้องไปชิงเหรียญทองแดงกับ เวียดนาม ที่เพิ่งเจอกันในซีเกมส์ ซึ่งทีมชาติไทยก็จัดการย้ำแค้นไปอีกครั้ง ชนะไป 3-0 เซต คว้าอันดับ 3 มาครอง
อาเซียน กรังด์ปรีซ์
ทีมชาติไทย เตรียมความพร้อมก่อนลุยศึกชิงแชมป์โลกด้วยการแข่งขันรายการ อาเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่นครราชสีมา โดยแข่งแบบพบกันหมด 4 ทีม ซึ่งผลก็เป็นไปตามความคาดหมาย โดยทัพนักตบสาวไทยไล่ต้อนเอาชนะคู่แข่งอย่าง ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และเวียดนาม ไปแบบขาดลอย 3-0 เซตทุกนัด คว้าแชมป์แบบไร้คู่ต่อกร
ชิงแชมป์โลก
ก่อนไปแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องพยายามผ่านเข้าสู่รอบ 2 ให้ได้ และสุดท้ายพวกเธอก็ทำได้สำเร็จ ด้วยการเก็บสถิติชนะ 4 แพ้ 1 ในรอบแรก โดยเฉพาะการชนะ ตุรกี และ โดมินิกัน ที่สร้างความฮือฮาในวงการวอลเลย์บอลเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่รอบสอง ทีมชาติไทยที่กรำศึกหนักมาตลอดทั้งปีก็ต้านทานความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่ไหว แพ้รวดทั้ง 4 นัดในรอบนี้ ทำให้ปิดฉากศึกชิงแชมป์โลก 2022 ด้วยสถิติแข่ง 9 นัด ชนะ 4 แพ้ 5 นัด เก็บได้ 11 แต้ม จบอันดับที่ 13 ของการแข่งขัน
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ
แม้นักกีฬาชุดนี้จะมีรูปร่างที่ค่อนข้างเสียเปรียบคู่แข่ง แต่พวกเธอชดเชยข้อด้อยด้วยสไตล์การเล่นที่รวดเร็วทั้งเกมรุกและเกมรับ โดยเฉพาะรูปแบบการรุกแบบผสมที่เป็นจุดเด่นหลักที่ทำให้คู่แข่งหาทางรับมือได้ยากลำบาก อีกทั้งสไตล์การเล่นที่ "เต็มไปด้วยความสุข" มีแต่รอยยิ้มตลอดการแข่งขัน ก็ทำให้แฟนกีฬาทั่วโลกร่วมส่งใจเชียร์พวกเธอไปด้วย แม้กระทั่งเพจเฟซบุ๊กของสหพันธ์วอลเลย์บอลระหว่างประเทศ หรือ FIVB ยังถูกแซวไปด้วยว่าจงใจเชียร์ทีมชาติไทยอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆครั้ง
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ทัพนักตบลูกยางสาวไทยทำผลงานได้ดีก็คือ "ประสบการณ์" โดยเฉพาะการไปเล่นในลีกต่างแดน โดยในปีนี้มีนักกีฬาไทยออกไปเล่นให้สโมสรในต่างแดน ถึง 7 คน นำโดย อัจฉราพร คงยศ และชัชชุอร โมกศรี ที่เล่นให้ ซาริเยร์ เบเลดิเยร์สปอร์ สโมสรจากประเทศตุรกี, พรพรรณ เกิดปราชญ์ ที่อยู่กับทีมจาการ์ตา โปปซิโว โพลวาน ทีมดังในอินโดนีเชีย ก่อนที่ล่าสุดจะย้ายไป ราปิด บูคาเรสต์ ในโรมาเนีย รวมถึงอีก 4 สาว จากวีลีก ประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย ทัดดาว นึกแจ้ง จากเจที มาร์เวลัส, หัตถยา บำรุงสุข จากโตโยต้า ออโต้บอดี้ ควินซี่, พิมพิชยา ก๊กรัมย์ จาก คูโรเบะ อควาแฟรีส์ และธนัชชา สุขสด ที่เล่นอยู่กับ โอกายาม่า ซีกัลส์ เห็นได้ชัดเจนว่านักตบสาวไทยได้รับประสบการณ์จากต่างประเทศกลับมามากมาย และสามารถพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด
อีกภาคส่วนที่ต้องยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จในปีนี้ก็คือ สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ที่มีแผนยุทธศาสตร์ชัดเจน ผ่านการวางแผนยาวนานนับสิบปี จนทำให้สามารถสร้างดาวรุ่งสายเลือดใหม่ขึ้นมาติดทีมชาติได้อย่างไร้รอยต่อ
และในปีหน้านี้ รายการใหญ่ที่รออยู่ทั้ง 7 โปรแกรมใหญ่ ประกอบไปด้วย ซีเกมส์ , เนชั่นส์ลีก , ชิงแชมป์เอเชีย , คัดเลือกโอลิมปิก 2024 , อาเซียนกรังด์ปรีซ์ และเอเชียน อินดอร์ เกมส์โดยเฉพาะศึก เนชั่นส์ ลีกที่ประเทศไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพในสนามที่ 3 ด้วย หากทีมชาติไทยสามารถนำข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในปีนี้มาแก้ไขและพัฒนาต่อได้ เชื่อแน่ว่าในปี 2566 จะเป็นปีที่กองเชียร์ชาวไทยจะได้มีความสุขไปกับผลงานของพวกเธอเช่นเดียวกับปีนี้แน่นอน