svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

"อาลี" ผู้โบยบินดั่งผีเสื้อ ชกเจ็บเหมือนผึ้ง

มูฮัมหมัด อาลี อดีตยอดแชมป์มวยโลก รุ่นเฮฟวี่เวท ชาวอเมริกัน ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 74 ปี แต่นอกจากฝีไม้ลายมือบนสังเวียนชกแล้ว เรื่องราวชีวิตนอกเวทีของเขาก็มีสีสันไม่แพ้กัน ติดตามได้จากรายงานชิ้นนี้

มูฮัมหมัด อาลี ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักมวยที่ดีที่สุดตลอดกาล ชื่อเดิมของเขา คือ แคลเซียส มาร์เซลลัส เคลย์ จูเนียร์ เกิดวันที่ 17 มกราคม 1942 ที่เมืองหลุยส์วิลล์ มลรัฐเคนตักกี้ เขาปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี เมื่อตอนเป็นนักชกชื่อดังแล้วด้วยการหันมานับถือศาสนาอิสลาม โดยให้เหตุผลว่าคำสอนของศาสนาอิสลามไม่ให้ไปเข่นฆ่าผู้คน และการเกณฑ์เป็นทหารเพื่อไปรบในสงครามก็เป็นสิ่งที่ตัวเขารับไม่ได้

อาลีเริ่มหัดชกมวยครั้งแรกเมื่อตอนเป็นเด็ก เขาถูกขโมยรถจักรยาน เลยไปฟ้องตำรวจ บัเงอิญตำรวจที่สถานีเป็นครูฝึกมวยด้วย เลยแนะนำให้เขาหัดชกมวยเพื่อไว้ป้องกันตัว ซึ่งนั้่นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต /ต่อมาอาลีเป็นตัวแทนมวยโอลิมปิกของสหรัฐ เขาคว้าเหรียญทองรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท ในโอลิมปิก ที่กรุงโรม ในปี 1960 และก้าวขึ้นเป็นนักชกอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง

กว่า 3 ปีบนสังเวียนผ้าใบ อาลีชนะ 19 ไฟต์ ในจำนวนนี้ไม่ครบยกถึง 15 ไฟต์ จนในที่สุดเขาได้ก้าวขึ้นชกชิงแชมป์โลกรุ่นเฮฟฟวี่เวท จากแชมป์ในเวลานั้น ซอนนี่ ลิสตัน และในตอนชั่งน้ำหนักนั้นเอง เขาได้เอ่ยอมตะวาจาที่เป็นดั่งนิยามการชกของเขาว่า โบยบินดั่งผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง รวมทั้งการชอบทำนายผลการชกว่าเขาจะน็อคคู่ต้อสู้ยกนั้่นยกนี้ จนได้รับฉายาว่า "สิงห์จอมโว" ซึ่งก็มีหลายครั้งที่เขาทำได้ตามคำคุย

อย่างการชกกับลิสตันครั้งแรก ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1964 เขาชกจนลิสตัน ไม่ยอมออกจากมุมในยกที่ 7 และอาลีได้กลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทคนใหม่ และหลังจากนั้นเขาให้ลิสตันแก้มือ เขาก็ชนะอีก รวมทั้งชนะยอดมวยในเวลานั้นอีกหลายคน รวมทั้ง ฟลอยด์ แพ็ตเตอร์สัน ซึ่งกล่าวได้ว่าในยุคทศวรรษ 60 อาลีคือยอดมวยเอฟวี่เวทอย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นคนแรกที่ได้แชมป์โลกเฮฟวี่เวท 3 สมัยด้วย ในระหว่างการชกกของเขาทั้งในทศวรรษที่ 60 และ 70

แต่แล้วในปี 1967 เขาถูกถอดออกจากแชมป์โลกเฮฟวี่เวทของสภามวยโลกและสมาคมมวยโลก เมื่อปฏิเสธเข้ารับการเกณฑ์ทหารไปรบที่เวียดนาม โดยยกเหตุผลความเชื่อของศาสนาอิสลามดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งเอ่ยวาจาไว้ว่า "ผมไม่ได้มีอะไรบาดหมางกับพวกเวียดกง ผมจะไปฆ่าเขาทำไมล่ะ" ซึ่งจากการหนีทหาร ทำให้เขาถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี แต่เป็นอิสระระหว่างอุทธรณ์ แต่ก็ถูกสั่งห้ามขึ้นชก และในที่สุดศาลสูงก็ได้ยกฟ้องเขาในปี 1971

พอเดือนมีนาคม ปี 1971 อาลีหวนคืนผืนผ้าใบ ไปท้าชิง โจ ฟราเซียร์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทของสภามวยโลก และสมาคมมวยโลก ซึ่งไฟต์นี้ถูกขนานนามว่าเป็นไฟต์แห่งศตวรรษ และหลังชกครบ 15 ยก ผลจบลงด้วยการที่ฟราเซียร์ยัดเยียดความปราชัยครั้งแรกให้กับอาลี

ทั้งคู่พบกันบนเวทีหลายครั้ง และทุกครั้งก็นับการเป็นการชกครั้งประวัติศาสตร์ ต่อมาทั้งคู่ชกกันอีกที่ฟิลิปปินส์ ในศึกที่มีชื่อว่า "Thriller in Manila" คราวนี้ฟราเซียร์เป็นฝ่ายแพ้ที.เค.โอ.ไปในยกที่ 14

แต่การชกที่อาจกล่าวได้ว่าทำให้อาลีเจ็บตัวมากสุด คือการพลิกล็อคแพ้แก่นักมวยโนเนม เคน นอร์ตัน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1973 แม้จะเป็นอาลีจะฝ่ายแพ้คะแนน แต่หลังการตรวจสภาพร่างกาย พบว่าอาลีนั้นถึงกับกรามหักเลยทีเดียว

ส่วนอีกไฟต์ที่นับเป็นการชกครั้งประวัติศาสตร์ของอาลีและของวงการมวยโลก คือ การพบกับ จอร์จ โฟร์แมน ซึ่งขณะนั้นโฟร์แมนเป็นแชมป์โลกอยู่ และเป็นการชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 ในชีวิตของอาลี ในศึกที่มีชื่อว่า "The Rumble in the Jungle" ที่กรุงกินซาซ่า ประเทศซาอีร์ โดยในเวลานั้นไม่มีใครเชื่อว่าอาลีจะโค่นโฟร์แมนได้ เพราะตอนนั้นโฟร์แมนหนุ่มแน่นกว่าและสดเหลือเกิน ไล่ทุบคู่ต่อสู้ชนิดนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ โดยเฉพาะการเอาชนะน็อคอย่างง่ายดายต่อนักมวยที่อาลีเคยต่อยแบบสูสี เช่น นอร์ตัน และฟราเซียร์

แต่อาลีใช้ยุทธิวิธี "หลังพิงเชือก" หลอกล่อให้โฟร์แมนเดินเข้าต่อย โดยตัวเองได้แต่ปัดป้องและถอยพิงเชือก จนกระทั่งถึงยกที่ 8 ขณะที่โฟร์แมนเริ่มหมดแรง อาลีเริ่งระดมปล่อยหมัดจนกระทั่งชนะน็อกโฟร์แมนได้กลับมาเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ได้ในที่สุด

อาลีมาเสียแชมป์โลกเมื่อเป็นฝ่ายแพ้คะแนน 15 ยกแก่ ลีออง สปิ๊งคส์ นักมวยรุ่นน้องอดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิคที่มอนทรีออล แม้ต่อมาจะเป็นฝ่ายแก้มือเอาชนะสปิ๊งคส์ในครั้งต่อมาได้ แต่ก็ต้องเสียแชมป์โลกทันทีเมื่อพบกับ ลาร์รี่ โฮมส์ ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้มากถึง 24 ครั้ง

อาลีขึ้นชกมวยครั้งสุดท้าย ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1981 ก็เป็นแพ้คะแนน 10 ยก ต่อ เทรเวอร์ เบอร์บิค ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทของสภามวยโลก อาลีชกอาชีพทั้งหมด 61 ไฟต์ ชนะ 56 ครั้ง น็อกคู่ต่อสู้ได้ 37 ครั้ง แพ้ 5 ครั้ง

หลังแขวนนวมจนถึงบั้นปลายชีวิต อาลี ต้องต่อสู้อาการป่วยเป็นโรคพาร์กินสันมาตลอด 32 ปี แต่ในพิธีเปิดโอลิมปิคที่แอตแลนต้า อาลีได้รับเกียรติจากคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ให้เป็นบุคคลสุดท้ายที่จุดคบเพลิงด้วยมือที่สั่นเทา แต่อาลีก็สามารถทำได้ เป็นที่ประทับใจของผู้คนทั่วโลก แม้กระทั่งบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น ผู้เป็นประธานพิธีเปิดถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง

อาลี เสียชีวิตในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา จากโรคพาร์กินสันและระบบทางเดินหายใจ ขณะอายุได้ 74 ปี โดยมีภรรยา ลอนนีย์ วิลเลียมส์ ซึ่งเป็นเพื่อนสาววัยเด็กของเขาอยู่เคียงข้างตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต

ชีวิตอันมีสีสันของอาลี ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ When We Were Kings ในปี ค.ศ. 1996 เป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับศึก Rumble in the Jungle ที่ประเทศซาอีร์ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ประเภท ภาพยนตร์สารคดีในปีนั้น และอีกครั้งในปี ค.ศ. 2001 ในชื่อ Ali เป็นภาพยนตร์เรื่องราวชีวประวัติของอาลีล้วน ๆ กำกับโดย ไมเคิล แมนน์ ได้ วิลล์ สมิธ แสดงเป็นอาลี ภาพยนตร์ได้มีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขารางวัลดารานำชายและดาราประกอบชาย ถึง 2 รางวัลด้วยกัน

นอกจากนั้น อาลี ได้รับเกียรติเป็นตัวละครสำคัญในหนังสือการ์ตูน Superman vs Muhammad Ali ซึ่งวางจำหน่ายช่วงปี ค.ศ. 1978 และจัดพิมพ์ใหม่อีกครั้งในช่วงปี ค.ศ. 2010

ส่วนในวงการเพลง วง Johnny Wakelin & The Kinshasa Band ก็แต่งเพลง Black Superman เมื่อปี 1975 ที่บอกเล่าเรื่องราวของ อาลี อันเป็นเป็นเพลงโด่งดังไปทั่วโลก ที่วัยรุ่นยุคนั้นฮัมเพลงตามได้เป็นแถว

มูฮัมหมัด อาลี จัดเป็นมนุษย์ ประเภท "100 ปี จะมีสักคน" ซึ่งคงจะหานักมวยรุ่นยักษ์ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่สร้างผลงานจนกลายเป็นตำนานได้เหมือนเขา