เป็นเวลากว่า 42 ปี ที่แนวคิด ของ ชิน โสภณพนิช ผู้ก่อตั้ง รพ.บำรุงราษฎร์ ที่ต้องการให้บำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนทางเลือก สามารถให้การรักษาโรคยากและซับซ้อน ในระดับมาตรฐานที่สูง ช่วยแบ่งเบาภาระจากโรงพยาบาลรัฐ และคนไข้ไม่ต้องบินไปรักษาถึงต่างประเทศ ถูกส่งต่อและถ่ายทอดการดำเนินงานมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้า แต่การไม่หยุดพัฒนาเพื่อนำนวัตกรรมการรักษาใหม่ ๆ ยังคงเป็นสิ่งที่บำรุงราษฎร์เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันภายใต้การนำของ “ชัย โสภณพนิช” ประธานกรรมการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับความมุ่งมั่นที่ “ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อมุ่งหวังแต่ผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำประโยชน์เพื่อสังคม” พร้อมแบ่งเบาภาระรัฐบาลในการรักษาโรคยากและซับซ้อน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการตอบโจทย์ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย ด้วยหลัก “3C1W” มุ่งการรักษาโรควิกฤต ซับซ้อน การทำงานร่วมกับแพทย์แบบสหสาขาวิชา และส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงรับสังคมสูงวัย ส่งผลให้เป้าหมายสู่การเป็นผู้นำ Healthcare 5.0 ไม่ใช่เรื่องยาก
ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยทิศทางทางการแพทย์ ตอนนี้มีหลายเรื่องน่าสนใจ จากเทรนด์ปีนี้ ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุ 20% ของประชากร และคาดว่า 10 ปีจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30% คนอายุยืนมากขึ้นจากที่การแพทย์มีการพัฒนาก้าวหน้า ดังนั้น เรื่องของ Wellness และ Digital Health Tech จะได้รับความนิยม บำรุงราษฎร์ ยังคงเดินหน้ายกระดับการให้บริการเพื่อส่งมอบการดูแลรักษาสุขภาพระยะยาว (Lifetime value health partner) ในทุกช่วงอายุ
พร้อมมุ่งพัฒนาการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) รวมถึงการยกระดับศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคยากและโรคซับซ้อนได้อย่างครอบคลุมทุกโรค ซึ่งจำเป็นต้องใช้สหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary team) เข้ามาร่วมในการดูแลรักษาและมุ่งเน้นบุคลากรหลากหลายสาขา โดยมีจุดแข็ง “3C1W” ในด้านคุณภาพของการรักษา (Quality of Care) ได้แก่
1) Critical care การรักษาโรควิกฤต นำเทคโนโลยีและงานวิจัยต่างๆ มาใช้ โดยบำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์เวชบำบัดวิกฤตที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Critical Care Medicine จากสหรัฐอเมริกา มากกว่า 10 คน และเป็นทีมที่เข้มแข็งและเป็นเสาหลักของโรงพยาบาล ที่พร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการจัดการอย่างมีระบบ
2) Complicated care การรักษาโรคซับซ้อน ผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลปัจจุบัน ส่วนใหญ่ต้องเจอแพทย์มากกว่า 2 ท่าน ขึ้นไป เพราะโรคพัฒนาตัวเอง ดังนั้น จึงเป็นจุดแข็งของบำรุงราษฎร์ในการรักษาโรคยากและซับซ้อน ด้วยทีมแพทย์ชำนาญการและประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับหลายอวัยวะหรือเป็นโรคยากต่อการวินิจฉัย โดยมี Center of Excellence ที่ครอบคลุมการรักษาในทุกโรค ซึ่งรวมถึงการปลูกถ่ายอวัยวะ (Organ transplantation) มีทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญการขั้นสูงในการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ มากว่า 30 ปี ทั้งการปลูกถ่ายไต, ปลูกถ่ายหัวใจ, ปลูกถ่ายตับ และปลูกถ่ายตา โดยบำรุงราษฎร์เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจให้แก่ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
3) Collaboration of Expertise การทำงานร่วมกันของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในหลากหลายสาขาและสหสาขาวิชาชีพ เพื่อร่วมกันให้การบริบาลผู้ป่วยเพื่อผลลัพธ์ของการรักษาที่ดีที่สุด ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การตรวจวินิจฉัยโรคหายาก (Rare Disease) จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางหลากหลายสาขา เพื่อประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการโรคของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ส่งต่อกันมาทางสายเลือดในครอบครัว อาทิ กลุ่มโรคแอลเอสดี กลุ่มโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
4) Wellness and Prevention การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกัน นับเป็นเทรนด์ที่สำคัญของการแพทย์ในอนาคต ที่บำรุงราษฎร์ได้บุกเบิกมากว่า 21 ปี โดยมีศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ ที่ให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัย นอกจากนี้ บำรุงราษฎร์ยังมีการดูแลสุขภาพในเชิงลึกระดับยีน โดยการตรวจยีน เพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค (Genetic Testing) เพื่อคาดคะเนสุขภาพในอนาคต วางแผนการมีบุตร โดยตรวจโรคทางกรรมพันธุ์บางชนิดที่อาจถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก
ภญ. อาทิรัตน์ กล่าวต่อว่า เราตั้งต้นจาก Vision และปณิธานในการเป็น World-Class Holistic Healthcare with Innovation นวัตกรรมต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนภาพจริงในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านประสบการณ์ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดย 4 ปัจจัยสำคัญ คือ
1) “องค์กรแห่งนวัตกรรม” (Innovation) เปิดรับนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ รวมถึงเทคนิคการรักษาแนวใหม่
2) “สถาบันด้านวิชาการทางการแพทย์” (Academic Hospital) บำรุงราษฎร์มีฝ่ายวิจัยและศึกษาที่มีบทบาทมุ่งส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของแพทย์ ทันตแพทย์ และบุคคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ รวมทั้งนวัตกรรมในทางการแพทย์และบริการที่เกี่ยวข้อง มีการดำเนินความร่วมมือกับสถาบันทางวิชาการ/มหาวิทยาลัยในระดับประเทศ
3) “การมีวัฒนธรรมที่โดดเด่น” (Unique Culture) ที่ถ่ายทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมาเข้าสู่ปีที่ 42 อันเป็น Rich Heritage อันทรงคุณค่าของบำรุงราษฎร์ ได้แก่ “Agility” ความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “Un-complacency” คือ การที่ไม่หยุดอยู่กับความพึงพอใจที่เกิดขึ้น มุ่งพัฒนาพัฒนาผลงานให้ดีขึ้น เห็นได้จากการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษา (adaptive to technology) และการ reaccreditation เรื่องของคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยตลอดเวลา เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้มาใช้บริการ และ “Compassionate Caring” เป็นการส่งมอบการบริบาลด้วยความเอื้ออาทร ดูแลผู้ป่วยและบุคลากรทุกคนเสมือนญาติมิตร
สุดท้าย คือ 4) “การมีเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็ง” (Partnership) สร้างความร่วมมือพันธมิตรใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับในปีนี้ นอกจากยังคงเน้น “แพทย์” เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของโรงพยาบาลและการสร้างทีมเวิร์คในการดูแลผู้ป่วยแล้ว บำรุงราษฎร์จะเน้นด้านการแพทย์ใน 2 ส่วนสำคัญคือ 1. Robotic Surgery Center การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดระบบดาวินซีเข้ามาช่วยศัลยแพทย์ในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยหลายระบบอวัยวะให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และ 2. Genetic มุ่งเน้นการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genomics) ซึ่งจะช่วยระบุความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด ทำให้สามารถป้องกันโรคเชิงรุกได้ อาทิ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด วางแผนการมีบุตรและป้องกันกลุ่มโรคเสี่ยงทางพันธุกรรมอื่นๆ ในอนาคต
รวมถึงตรวจพันธุกรรมเพื่อป้องกันการแพ้ยา ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาหรือวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะมาเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นเทรนด์การแพทย์ที่บำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญนับจากนี้ต่อไป
เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำ “Healthcare 5.0” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI, Machine learning และ Internet of Things โดย ต่อจากนี้ทุกคนสามารถมี Self-moritoring ซึ่งทั้งหมดจะต้องเป็นระบบระดับมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อที่จะเชื่อมโยงมาสู่ระบบของโรงพยาบาลได้ และมีการจัดการจัดเก็บฐานข้อมูล ประมวลผล การวิเคราะห์ ซึ่งการนำเรื่อง 5.0 เข้ามาใช้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
“เนื่องจากผู้ป่วยกว่า 50% ของบำรุงราษฎร์อยู่ต่างประเทศ ดังนั้นแม้เราจะมีแอปพลิเคชั่น และ เทเลเมดิซีนตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 แต่ยังคงต้องพัฒนาให้ทันสมัย ใช้งานง่ายขึ้น ขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมเพียงอย่างเดียว เราต้องพัฒนาคนและทีมที่จะซัพพอร์ตแพทย์ เพราะเรากำลังให้บริการด้านสุขภาพเพื่อชีวิตของมนุษย์” ภญ. อาทิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย