17 มิถุนายน 2568 แม้พรรคเพื่อไทยต้องการจะยึดคืนกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยอาศัยอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการปรับครม.แพทองธาร ชินวัตรในช่วงเวลาที่เหลืออยู่
แต่ตอนนี้คล้ายว่าเกมนี้ยืดเยื้อออกไปและมีแววแผ่วลงเรื่อยๆเพราะอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยยืนยันหลังเข้าพบ สร.1 ที่ตึกไทยคู่ฟ้าครั้งล่าสุด
โดยยืนยันว่า ยังทำงานที่กระทรวงคลองหลอดและหัวหน้ารัฐบาลสั่งการบ้านล่วงหน้าถึงปีหน้า
แปลความง่ายๆงานนี้"เสี่ยหนู" ไม่คืนกระทรวงคลองหลอดให้นายใหญ่และสร.1 และหากพรรคสีแดงยึดเก้าอี้ตัวนี้กลับไปจริงในเวลาอันใกล้ เบอร์1 ของพรรคภูมิใจไทยยืนยันแล้วว่า พรรคสีน้ำเงินพร้อมเป็นฝ่ายค้านทันที
"อาการแบบนี้กูรูการเมืองมองกันว่าแต้มต่อที่พรรคสีแดงข่มพรรคสีน้ำเงินคือ การยุบสภาและการสอบสวนฮั้วสว. แต่พรรคสีน้ำเงินน่าจะกุมสภาพการเมืองไทยในหลายกระดานและมีเวลาหายใจได้มากกว่าพรรคเพื่อไทย"
พูดง่ายๆพรรคสีน้ำเงินมีเวลาและไพ่ในมือไว้มากกว่าพรรคสีแดง
แม้ทั้งสองพรรคจะมีบาดแผลทางการเมืองติดตัว แต่หากมองดีๆ ไพ่ในมือและเวลาของพรรคสีแดงน่าจะน้อยกว่าพรรคสีน้ำเงิน เพราะพรรคสีแดงมีแผลจากผู้นำทางจิตวิญญาณ คือ การครอบงำทางการเมือง/ กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ /ข้อหาในมาตรา112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา/ความสัมพันธ์ของสองตระกูลแห่งสองประเทศในอาเซียนคือชินวัตรและฮุนที่ตอนนี้ง่อนแง่นเต็มที และส่อแววลุกลามไปเรื่อยๆ
ส่วนการบริหารงานของรัฐนาวาที่มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองแห่งประเทศไทยทำงานอยู่นั้น คะแนนนิยมจากโพลล์หลากสำนักก็บ่งชี้แล้วว่า คนไทยมองการทำงานของสร.1เป็นเช่นใด....และกระทบฐานเสียงของตัวเองแค่ไหน เพราะนโยบายหาเสียงที่ลั่นวาจาไว้เมื่อสองปีที่ผ่านมานั้น ตรงปกกี่วาระบ้าง...
ตรงนี้อาจเป็นจุดตายทางการเมืองที่พรรคสีแดงรู้ตัวดีและพยายามทุกวิถีทางในยามนี้ที่จะกระชับอำนาจไว้ในมือก่อนที่โอกาสนั้นจะลอยหลุดไป
ส่วนพรรคสีน้ำเงินนั้น มีบาดแผลจากการถูกกล่าวหาฮั้วสว. โดยตอนนี้แกนนำพรรค/กรรมการบริหารพรรค/รัฐมนตรี/สส./นักการเมืองท้องถิ่น/สมาชิกพรรค รวมทั้งสว.นับร้อยชีวิตที่สังคมมองว่าแนบชิดกับพรรคสีน้ำเงิน ต้องไปสู้คดีกับกกต.และดีเอสไอ แต่ตอนนี้พรรคสีน้ำเงินประกาศฟ้องกลับแล้วทุกกรณีที่โดนกล่าวหา
และหากมองในแง่มุมกฎหมายนั้น เวลาที่พรรคสีน้ำเงินและคณะที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหานั้น น่าจะใช้เวลาระยะใหญ่กว่าคดีจะสิ้นสุด
อย่ามองข้ามอาการแปลกๆของพรรคสีส้มที่ตอนนี้คล้ายว่าพรรคสีส้มผสมสีเข้ากับสีน้ำเงินได้มากกว่าสีแดง อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาล-พรรคฝ่ายค้าน อื่นๆก็มีท่าทีนิ่งผิดปกติกับการเมืองยามนี้ จนใครบางคนจับสัญญาณได้ว่า งวดหน้าพรรคสีแดงอาจโดดเดี่ยว หากพรรคสีส้มยอมลดเพดานและเงื่อนไขทางการเมืองลงไปบ้างจนพรรคอื่นๆสามารถแตะมือกับพรรคสีส้มได้ วันนั้นพรรคสีแดงอาจยืนเด่นเป็นฝ่ายค้านเพียงลำพัง
แปลว่าการปรับครม.ชุดนี้กับภาวะบ้านเมืองที่มีปัหามากมาย โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชานั้น
หากพรรคสีแดงจะหักดิบพรรคสีน้ำเงิน เวลาที่จะบริหารเกมแห่งอำนาจอาจสั้นกว่าที่วางไว้ และหมากการเมืองที่พรรคสีแดงต้องการ เช่น ร่างกฎหมายงบประมาณ/ร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์/การใช้งบกลาง1.57แสนล้านบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นเพื่อเรียกคะแนนนิยมให้กลับมาก่อนจะลงสนามหาเสียงนั้น พรรคสีแดงน่าจะไปต่อลำบากหากเลือกเดินหน้าหักดิบพรรคสีน้ำเงิน
145 สส.ของพรรคเพื่อไทยในยามนี้แม้จะเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาล หากตัดพรรคสีน้ำเงินมี 69 สส.ในมือและยังเดินเกมกวาดต้อนสส.พรรคต่างๆให้แตะมือและจ่อย้ายค่าย เช่น หกสส.เพชรบูรณ์จากพรรคพลังประชารัฐ/สองสส.อุบลราชธานีจากพรรคไทยสร้างไทยออกไปนั้น
การขยับตัวของพรรคสีแดงไม่พ้นวาระปริ่มน้ำและลำบากยิ่งในการขยับจังหวะ บวกกับยามนี้พรรคสีแดงและพันธมิตรเจาะและขยายแนวร่วมทางการเมืองให้มีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรให้เพิ่มขึ้นนั้นลำบากยิ่ง และหมากการเมืองยังเดินตามหลังพรรคสีน้ำเงินหลายก้าว
หากให้อ่านเหตุผลการยึดกระทรวงคลองหลอดคืนกลับมาอยู่ในมือพรรคสีแดงนั้น
พินิจได้ว่า ในเวลาอันใกล้นี้ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปีงวดมาทุกที อำนาจในมือของพรรคสีแดงที่พอจะแตะได้คือการแต่งตั้งตำรวจ ฉะนั้น หากได้กระทรวงคลองหลอดมาดูแลเอง การวางเครือข่ายอำนาจเพื่อรับการเลือกตั้งสส.ในเวลาที่เหลืออยู่นั้น แกนนำตัวจริงของพรรคสีแดงน่าจะประเมินแล้วควรเร่งกระทำ
เพราะผลเลือกตั้งอบจ./เทศบาลทั่วประเทศคลอดแล้วว่า ท้องถิ่นนั้นๆยืนอยู่กับขั้วใดทางการเมืองบ้าง และเร็วๆนี้จะมีการเลือกตั้งอบต.เกิดขึ้นอีก ดังนั้นการเตรียมวางข้าราชการที่มีส่วนในการเดินสู่ถนนแห่งอำนาจต้องเคลื่อนไหวแต่เนิ่นๆให้สอดรับกับท้องถิ่น
ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลผู้ว่าฯ/นายอำเภอ/กำนัน/ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศนั้น ยามนี้และยามหน้าพรรคสีเดงต้องการคนที่ไว้ใจได้ลงไปทำงาน เพราะหลายจังหวัดที่พรรคสีแดงเสียไปในการเลือกตั้งสส.ครั้งล่าสุด ภาวะแบบนี้การตั้งเป้าให้ได้ตัวเลขสองร้อยสส.ก็เหนื่อยและหืดขึ้นคอ แต่ข้อมูลที่ปรากฏเมื่อสองปีที่ผ่านมาคล้ายว่าพรรคสีน้ำเงินวางคนของตัวเองในกระทรวงคลองหลอดไปหลายตำแหน่งแล้ว
อย่ามองข้ามสี่ปีที่แล้ว ในช่วงที่เสี่ยหนูเป็นรมว.สาธารณสุข จะพบว่า อสม.นั้นเป็นเสมือนหัวคะแนนธรรมชาติให้พรรคสีน้ำเงินแบบไม่ต้องเหนื่อยมากนักในการขอคะแนน
หากยังปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยขี่คอพรรคสีเเดงเหมือนครั้งที่พรรคสีน้ำเงินเคยกระทำกับครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเเละรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐนั้น เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่ยอมในคราวนี้ (เเม้จะยอมมาเเล้วในการตั้งครม.เศรษฐา ทวีสินเเละอิ๊งค์1)
ดังนั้นเกมชิงดำ (ปรับครม. โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย)ทางการเมืองงวดนี้ระหว่างค่ายสีแดงกับขั้วสีน้ำเงิน อาจนับเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่ต้องดูว่าไมตรีที่ครูใหญ่-เสี่ยหนูเคยให้ไว้กับประมุขจันทร์ส่องหล้าจะสานต่อหรือสะบั้นสัมพันธ์แบบชั่วคราวหรือถาวร
เร็วๆนี้มีคำตอบอย่างเป็นทางการ....