
23 มกราคม 2568 "ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์" ผอ.สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และอจ.จิตติมา บุญวิทยา ผอ.ไอเอฟดีโพลและเซอร์เวย์ ร่วมกัน แถลงไอเอฟดีโพลและเซอร์เวย์ ในหัวข้อ "ศึกเลือกตั้งอบจ.ประชาชนกังวลอะไร" โดยสำรวจ 1,222 ตัวอย่าง สำรวจช่วง 15-20 มกราคม 2568 ใน 6 ภูมิภาค โดยสุ่มตัวอย่างความน่าจะเป็นแบบ Stratified Five-Stage Random Sampling แต่ละตัวอย่างที่ถูกเลือกมีค่าถ่วงน้ำหนัก ค่าความผิดพลาด 3% และที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
โดย "อจ.จิตติมา บุญวิทยา" กล่าวว่า จากผลสำรวจ "ไอเอฟดีโพล" ชี้ว่า การเลือกตั้งนายกอบจ.ครั้งนี้ ประชาชนต้องการเลือก"นายกฯ อบจ." ที่เข้าใจปัญหาท้องถิ่น มีวิสัยทัศน์-นโยบายจับต้องได้สร้างการเปลี่ยนแปลง มีผลงาน/มีประสบการณ์บริหารท้องถิ่น ประวัติดี และสังกัดพรรคที่ชื่นชอบ
"ขณะเดียวกัน ประชาชนกังวลการแทรกแซงของพรรคการเมืองระดับชาติสู่การบริหารท้องถิ่น"
กังวลว่าหากผู้สมัครจาก"พรรคบ้านใหญ่"ได้เป็น นายกฯ อบจ. จะเน้นประโยชน์พรรค/พวกพ้อง ทุจริต ผูกขาดการพัฒนา ทำงานแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และกลุ่มผู้มีอิทธิพลขยายตัว
ส่วนผู้สมัครจาก "พรรคประชาชน" ถูกจับตาเรื่องขาดการหนุนจากรัฐบาลและเครือข่ายพรรครัฐบาลในท้องถิ่น ไม่แน่ใจฝีมือในการทำตามที่พูดหาเสียงไว้ เน้นประโยชน์พรรค/พวกพ้อง ความขัดแย้งในท้องถิ่น และทำงานไม่ต่อเนื่องจากทีมเดิม
อีกทั้ง ประชาชนกังวลต่อทั้งสองฝ่ายในประเด็นคล้ายกัน คือ มุ่งผลประโยชน์เพื่อพรรค/พวกพ้อง นโยบายไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น ความขัดแย้งในท้องถิ่น และการไม่ทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้
"ผอ.ไอเอฟดีโพลและเซอร์เวย์" กล่าวว่า นัยจากผลโพล บ่งบอกว่า ศึก อบจ.ครั้งนี้ จุดเปลี่ยนสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่น ประชาชนหวังการเปลี่ยนแปลง แต่หวั่นเกมการเมืองฉุดรั้งการพัฒนาท้องถิ่น การสู้ศึก อบจ. ร้อนแรงในทุกมิติ โจมตีกันดุเดือด จนประชาชนกังวลว่า อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในพื้นที่ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาท้องถิ่น
"การเมืองระดับชาติ มีอิทธิพลในการเลือกตั้งท้องถิ่นมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทุกพรรคใช้เวที อบจ. เป็นฐานสร้างคะแนนนิยม หวังผลเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2570"
ขณะที่ นโยบาย/แนวทางพัฒนาจังหวัดสำคัญ แต่ถูกพูดถึงน้อยลง พรรคการเมืองต่างนำนโยบายระดับชาติมาใช้หาเสียงในท้องถิ่น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเสนอนโยบายที่มุ่งพัฒนาท้องถิ่นอย่างเต็มที่
"อจ.จิตติมา" กล่าวว่า เวทีหาเสียงเลือกตั้ง มีความดุเดือดแลกหมัดกันด้วยประเด็นที่ประชาชนจับตาพรรคการเมืองใช้ประเด็นที่ประชาชนกังวลมมาหาเสียงโจมตีกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ตรงกับผลสำรวจ เช่น พรรคบ้านใหญ่เรื่องผลประโยชน์พวกพ้อง ทุจริต และผูกขาดการพัฒนา ฯลฯ ส่วนพรรคประชาชนเรื่องขาดการสนับสนุน และงานสะดุดไม่ต่อเนื่อง เป็นต้น
ทั้งนี้ "อจ.จิตติมา" ให้ข้อเสนอแนะว่า ภาพรวม นำเสนอนโยบายพัฒนาที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นและจับต้องได้ พร้อมแสดงความตั้งใจทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในพื้นที่ แทนการก่อให้เกิดความไม่ลงรอย เสนอนโยบายที่ทำได้ตามที่หาเสียงไว้
"พรรคบ้านใหญ่" ใช้จุดแข็งความใกล้ชิดชุมชนนำเสนอนโยบายตอบโจทย์ท้องถิ่นและสร้างสรรค์ ประกาศแนวทางทำงานที่โปร่งใส-ตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นมีส่วนร่วม และเสนอนโยบายพรรคที่ไม่สนับสนุนการขยายบทบาทของกลุ่มอิทธิพลในทางลบ
ขณะที่ "พรรคประชาชน" แสดงวิสัยทัศน์/นโยบาย/แผนชัดเจนจับต้องได้ ชูทีมงานมืออาชีพที่เข้าใจพื้นที่ ลดความขัดแย้งโดยพูดคุยสร้างสมานฉันท์กลุ่มต่าง ๆ และแสดงความพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
ด้าน "ศ.ดร.เกรียงศักดิ์" วิเคราะห์จากผลโพล ว่า การเลือกตั้งอบจ. รอบนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างบ้านใหญ่แข่งกับบ้านใหม่ และบ้านใหญ่อันดับ 1 บ้านใหญ่อันดับ 2 แข่งกันเอง อาจจะมีบ้านใหญ่3 อยู่บ้างแต่จะใช้บ้านใหญ่ที่มีฐานการเมืองที่หนักแน่นสู้กับบ้านใหม่คือพรรคประชาชน นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตนคิดว่าเมื่อดูสิ่งเหล่านี้จึงเห็นชัดว่ามีการต่อสู้กันอย่างชัดเจน โดยคิดว่าบ้านใหญ่จะได้คะแนนอบจ. เป็นส่วนใหญ่ แต่บ้านใหม่แทบจะไม่ได้เลยอาจจะได้นิดเดียว
ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งอบจ.ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างกระแสกับกระสุนหมายความว่าใช้วิธีการสร้างกระแสให้ได้ผลลัพธ์แข่งกับกระสุนในพื้นที่ อย่างจริงจังในอบจ. มั่นใจว่า ครั้งนี้ "กระสุนชนะ"
ส่วน "การเลือกตั้งอบจ." ครั้งนี้แตกต่างกับการเลือกตั้งระดับชาติเนื่องจากครั้งที่แล้ว ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างมีลุงและไม่มีลุงแต่รอบนี้ลุงไม่เกี่ยวเพราะลุงเลิกไปแล้ว ฉะนั้นไม่มีกระแสมีลุงไม่มีเรามาช่วย ดังนั้นบ้านใหม่จึงจะไม่ได้ประโยชน์อานิสงส์จาก ความกลัวลุง หรือความไม่อยากได้ลุงตอนนี้จึงอยากให้คิดว่าบ้านใหม่ลำบากขึ้นโดย เฉพาะระดับอบจ.
คือการโยงคะแนนระดับชาติเข้ากับท้องถิ่นเข้าหากันเป็นครั้งสำคัญที่ไม่ค่อยมี คือการเอากระแสระดับชาติมาปนกับระดับท้องถิ่นสังเกตจากการหาเสียงจะชูประเด็นนโยบายระดับชาติหาเสียง ทั้งที่ท้องถิ่นไม่เกี่ยวกับระดับชาติมากนัก แต่มีการชูประเด็นนี้แสดงว่ามีการหมายมั่นจะให้ผลลัพธ์เลือกตั้งอบจ.นำไปช่วยในระดับชาติในที่สุด และสิ่งที่ประชาชนจะได้รับการปั่นให้เกิดความรู้สึกคือถ้าเลือกตามกระแสระดับชาติ ในที่สุดท้องถิ่นจะได้อานิสงส์ด้วย ดังนั้นประชาชนจึงไม่สนใจเรื่องท้องถิ่นเป็นหลัก แต่สนใจเลือกกระแสระดับชาติเป็นครั้งแรกที่ชัดเจนที่สุดที่นำกระแสชาติมาปนกับกระแสท้องถิ่น
โดยในอดีตพรรคการเมืองระดับชาติ เช่นสส.จะไม่ค่อยฟันธงเลือกใครเป็นพวก จะเอาทุกฝ่ายที่พอจะร่วมมือกันได้ เพื่อเวลาระดับชาติทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันในท้องถิ่นก็จะมาหนุนในระดับชาติได้ แต่ครั้งนี้ฟันธงยอมตัดใจ ตัดทิ้งในส่วนที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพื่อให้ได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำในท้องถิ่นเพื่อจะมาหนุนในระดับชาติ นั่นหมายความว่าอยากได้นายกอบจ. สังกัดพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
"วันนี้การเมืองระดับชาติและท้องถิ่น โยงกันแบบสนิทเกือบจะไร้รอยต่อ ทำให้การเมืองระดับชาติตัดสินใจชูกระแสพรรคระดับชาติ มาครอบคลุมพื้นที่ท้องถิ่นด้วย นี่เป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่เห็นอาการชัดเจนที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็นมาตลอดชีวิต นั่น หมายถึงว่าการเมืองได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ โยงระดับชาติกับท้องถิ่นเข้าหากันเป็นเนื้อเดียวกัน และทำให้ต้องเลือกว่า หากถ้ายังทำคลุมเครือเหมือนเดิม เพื่อหวังว่า รักพี่เสียดายน้อง ได้ทุกฝ่ายใน ท้องถิ่น มาหนุน ตัวเองในระดับชาติแม้เป็นศัตรูกันในท้องถิ่นแบบนี้เลิก เอาวิธีการที่ต้องเลือกว่าจะเอาพี่หรือเอาน้อง เลือกตัวที่มีผลคะแนนเยอะที่สุดที่ คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในระดับชาติ เช่นที่จังหวัดอุบลราชธานีมีการสู้กันเองของพรรคเพื่อไทย ตระกูลกัลป์ตินันท์ ยอมตัด ฝังแป้งมัน อีกฝั่งหนึ่งเพราะความสัมพันธ์ห่างชั้นกันเพราะแข่งกันเองตกลงกันไม่ได้ นี่คืออีกประเด็นที่เห็นชัดในการเลือกตั้งอบจ. รอบนี้ และอีกหลายจังหวัดจะเป็นอาการเดียวกันนี้"
"ศ.ดร.เกรียงศักดิ์" กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งประเด็นคือ ทุกพรรคการเมืองพยายามชี้ให้เห็นว่าพรรคของตนเองมีฝีมือและประสบการณ์การบริหาร ไม่มีการทุจริตตามที่ผลโพลประชาชนกังวล ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแค่ทฤษฎี และเป็นภาษาดอกไม้ แต่เรื่องจริงคนจะเลือกภาคปฏิบัติ คือเลือกตามกระสุน ใครมากกว่ามีโอกาสชนะ ความคุ้นเคยการรู้จักผู้สมัครในพื้นที่และ กระแสระดับชาติ พรรคการเมืองระดับชาติ ซึ่งชาวบ้านจะเลือกบนพื้นฐานในภาคปฏิบัติ
นอกจากนี้เรื่องจริง ในการจะมีผลลัพธ์อีกหนึ่งอันคือ "กลไกราชการ" พรรคที่ยังคงกลไกราชการย่อมมีโอกาส คือพรรคร่วมรัฐบาลอาจจะฮั้วกัน เพื่อจะสั่งให้กลไกราชการช่วยโดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามดังนั้นคราวนี้"พรรคประชาชน"จึงเสียเปรียบ พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย เพราะมีกลไกราชการอยู่ในมือฝ่ายรัฐบาล
ส่วนเรื่องหัวคะแนนจัดตั้งกับหัวคะแนนธรรมชาติครั้งนี้หัวคะแนนธรรมชาติยังมีน้ำหนักน้อยแต่หัวคะแนนจัดตั้งมีน้ำหนักมากที่สุดและเชื่อมโยงกับพวกกระสุนฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้อย่าหวังหัวคะแนนธรรมชาติที่เป็นระดับชาติจึงเชื่อว่า "พรรคประชาชน" จะได้อบจ.น้อยมาก และพรรคที่จะแย่งคะแนนกันจะเป็นบ้านใหญ่ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ การเลือกตั้งระดับชาติทุกครั้งจะมีประชาชนที่อาศัยในชุมชน ลักษณะบ้านไม้ และที่อาศัยในตัวเมืองลักษณะบ้านตึกกับบ้านรั้วออกมาใช้สิทธิ์มากกว่า การเลือกตั้งท้องถิ่น แต่การเลือกตั้งท้องถิ่นส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่อาศัยในชุมชนลักษณะบ้านไม้มาใช้สิทธิ์มากกว่า
ซึ่งการเลือกตั้งระหว่างวันเสาร์และวันอาทิตย์มีนัยสำคัญ เพราะหากเลือกวันอาทิตย์จะเห็นคนบ้านตึกกับบ้านรั้วที่เป็นชนชั้นกลางออกมาเลือกมากขึ้น ซึ่งครั้งนี้กำหนดให้เลือกในวันเสาร์ ซึ่งแปลกจากเดิม จะเป็นการจงใจหรือไม่ก็ตาม ที่เลือกวันเสาร์เป็นการช่วยคนบ้านไม้ให้ออกมาและเป็นการลงโทษคนบ้านรั้วและบ้านตึก นั่นหมายหมายความว่า พยายามช่วยบ้านใหญ่ มากกว่าบ้านใหม่
"จึงวิเคราะห์ว่า การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ บ้านใหญ่ที่มาจากพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยจะได้มากกว่าบ้านใหม่ที่มาจากพรรคประชาชน ขอย้ำว่า ผมไม่ได้แช่งและไม่ได้ลำเอียงแต่วิเคราะห์จากผลโพล การสำรวจความคิดเห็นประชาชนและวิเคราะห์จากสภาพจริง" ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ระบุ
ชมคลิป >>> เปิดผลไอเอฟดีโพล ศึกเลือกตั้ง นายกอบจ.