
KEY
POINTS
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศ ยุบสภา และมีพระราชกฤษฎีกาในราชกิจจานุเบกษา ทำให้เกิดการเลือกตั้งล่วงหน้าภายใน 45-60 วัน โดยสื่อต่างชาติมองว่าการตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึง ความล้มเหลวของระบบการเมืองไทยในการสร้างเสถียรภาพ
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นายกฯ อนุทินประกาศ "คืนอำนาจให้ประชาชน" หลังจากเกิดความขัดแย้งกับพรรคประชาชน (พรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด) ซึ่งเคยสนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยของอนุทิน แต่ได้ถอนตัวเพราะไม่ได้รับการรับประกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้าน เดอะ การ์เดียน และ รอยเตอร์ วิเคราะห์ว่าการแตกหักครั้งนี้เกิดจากข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้รับการตอบสนอง โดย เดอะ การ์เดียน มองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวงจร ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย ที่ยืดเยื้อมานาน ทำให้รัฐบาลเปลี่ยนนายกฯ ถึง 3 คนในระยะเวลา 2 ปี
สื่อต่างประเทศเห็นพ้องกันว่า การยุบสภาครั้งนี้เกิดขึ้นใน "ช่วงเวลาที่อันตราย" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Crisis)
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า นายกฯ อนุทินต้องเร่งยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจจากพรรคประชาชน การมีรัฐบาลรักษาการที่จำกัดอำนาจอนุมัติงบประมาณใหม่ อาจทำให้ตลาดการเงินเกิดความไม่มั่นคง
ส่วน รอยเตอร์ และ เดอะ การ์เดียน ระบุว่า ความไม่แน่นอนนี้ยิ่งซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ ของไทย ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง การบริโภคอ่อนแอ และผลกระทบจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ การที่รัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจเต็มที่อาจทำให้การฟื้นตัวหลังโควิดต้องล่าช้าออกไป
2. ความตึงเครียดชายแดน (Regional Instability)
สำนักข่าว เอพี และ รอยเตอร์ เน้นย้ำว่า การยุบสภาถูกประกาศในวันที่ 4 ของการปะทะรบที่รุนแรงกับกัมพูชา ซึ่งมีรายงานผู้เสียชีวิต 20-24 ราย และผู้ลี้ภัยนับแสนคนจากทั้งสองฝ่าย
เอพี วิเคราะห์ว่า ความตึงเครียดชายแดน นี้อาจยืดเยื้อออกไป เพราะรัฐบาลไทยขาดเสถียรภาพในการเจรจาทางการทูต แม้กองทัพจะยังดำเนินการตามปกติ แต่การเลือกตั้งใหม่ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบถือเป็นความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญในอาเซียน
โดยสรุป สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเป็น "สนามรบ" ระหว่างพรรคภูมิใจไทยของนายอนุทินกับพรรคประชาชนที่เน้นปฏิรูป โดย รอยเตอร์ สรุปว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องหาทางออกระยะยาวเพื่อหลีกเลี่ยงวงจร "วิกฤตซ้ำ" ที่ขัดขวางการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ