
23 พ.ย. 68 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นผ่านเนชั่นทีวี กรณี บ้านใหญ่สุพรรณบุรี นำโดย วราวุธ ศิลปอาชา นำ 10 สส. พรรคชาติไทย รวมถึง กลุ่มชลบุรี ของนายสนธยา คุณปลื้ม เข้าร่วมพรรคภูมิใจไทยสู้ศึกเลือกตั้ง. โดยว่า วันนี้อารมณ์การเมืองช่วงก่อนเลือกตั้งเหมือนย้อนยุคกลับไปคล้ายๆก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540
"พอเริ่มมีสัญญาณใกล้เลือกตั้ง เราจะเห็นปรากฏการณ์นี้ แต่สมัยก่อนเป็นลักษณะของการย้ายมุ้งการเมือง จะมีผู้นำกลุ่มเครือข่ายบ้านใหญ่เหมือนทุกวันนี้ ที่นั่นจะอุดมไปด้วยบรรดาบ้านใหญ่ของจังหวัดต่างๆ ผู้ที่การันตีได้ในระดับหนึ่งว่ามีเสียงเยอะของจังหวัดตนเอง คล้ายๆกับว่าศูนย์กลางของอำนาจที่มีโอกาสจะชนะอยู่ที่ไหนคนจะแห่ไปที่นั่น"
ยกตัวอย่างในการเลือกตั้งเมื่อปี 2538 พรรคชาติไทยยุคคุณบรรหารเฟื่องฟูมาก จะพบว่า มีมุ้งต่างๆย้ายมารวมอยู่ที่พรรคชาติไทยอย่างมีนัยสำคัญ พอคุณบรรหารลงจากตำแหน่ง เลือกตั้งปี2539 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศตั้งพรรคความหวังใหม่ บรรดาสส.ที่เคยอยู่กับชาติไทยก็หลั่งไหลไปอยู่กับความหวังใหม่ เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นเป็นเรื่องปกติมาก
ช่วงก่อนรัฐบาลในปี 2540 เหมือนอารมณ์แบบนั้นกลับมา อาจจะด้วยอิทธิพลของการเมืองแบบบ้านใหญ่ที่คนเริ่มรู้สึกว่า กลับมามีมนต์ขลังอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเทียบกับยุคก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ยุคหลังเลือกตั้ง 2544 /2548 /2550/ 2554 กระแสพรรคกลบความเป็นบ้านใหญ่ สมัยนั้น คือ ยุคคุณทักษิณเกิดขึ้นโดยคู่แข่งสำคัญ คือขั้วประชาธิปัตย์ พรรคแบบชาติไทยหรือพรรคที่ตั้งขึ้นมาเป็นพรรคทางเลือก เช่นพรรคมหาชนพรรคพลังแผ่นดิน พบว่า ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แล้วต่อให้ได้บ้านใหญ่หลายจังหวัดเข้าไปรวมอยู่ก็ไม่ได้การันตีผลเพราะว่าคนโหวตด้วยกระแสพรรค ถ้าลงสมัครภาคอีสาน เหนือ ถ้าไม่ลงในนามไทยรักไทยมีสิทธิ์สอบตกมาก ถ้าลงภาคใต้ไม่สังกัดประชาธิปัตย์คุณก็มีสิทธิ์สอบตก ต่อให้นามสกุลดังแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับพรรคที่สังกัด
“การเมืองวันนี้ ประเมินง่ายๆว่าใคร พรรคใดมี โอกาสที่จะเป็นรัฐบาล ยิ่งพรรคไหนมีโอกาสเป็นแกนนำ แคนดิเดตนายกฯ เขาหลั่งไหลเข้าไปแน่ เพราะวันนี้เราเห็นทั้งสองภาพ คือ การเมืองระดับชาติ เราก็เห็นวิธีการหลั่งไหลแบบนี้ การเมืองท้องถิ่น เราก็เห็นว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มบ้านใหญ่ของแต่ละจังหวัดกับพรรคการเมืองใหญ่ๆ เหมือนกับเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป”
ส่วนที่มองว่า 10 สส. ของพรรคชาติไทยพัฒนามาสวมเสื้อภูมิใจไทยนั้น จะขัดความรู้สึกประชาชนในพื้นที่หรือไม่ เพราะชาติไทยพัฒนาเหมือนมรดกตกทอดจากบรรหาร ศิลปอาชา ดร.สติธร กล่าวว่า กรณีของพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นสิ่งพิเศษ
“สมัยก่อนเราพูดถึงการโยกย้ายเป็นเรื่องปกติ ไปในนามกลุ่ม เพียงแต่ว่าเราจะไม่ค่อยเห็น เนื่องจากว่า พรรคการเมืองสมัยก่อน เขาก็ตั้งมาเฉพาะกิจมาเลือกตั้ง ถ้าประสบความสำเร็จก็ตั้งต่อ ถ้าล้มเหลวก็แยกตัว เราเห็นแบบนี้ในในการเมืองยุคปี 2540 ทุกวันนี้ เราก็เลยไม่คาดคิดว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งดั้งเดิมก็คือพรรคชาติไทยอาจจะเปลี่ยนมือกันมาหลายหลายรุ่นหลายหลายกลุ่มจากราชครูมาสู่ทางสุพรรณบุรี ตั้งแต่เป็นสุพรรณบุรี พรรคก็ยังดำรงอยู่ อาจจะขนาดเล็กลงหน่อยแต่ก็ยังอยู่ แล้วก็อย่างที่ว่าเหมือนเป็นมรดกตกทอด เพราะยุคที่พรรคการเมืองเฟื่องฟูหลังรัฐธรรมนูญ 2540 เราพบว่า พรรคใหญ่ที่มีกระแสดี เขาก็พร้อมที่จะส่งผู้สมัครไปแข่งกับสุพรรณบุรี แต่เหมือนกับว่าความมีบุญมีคุณต่อกันหรือว่าความต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์กับท่านบรรหาร ศิลปอาชา"
แน่นอนคือนักการเมืองเขาก็เกื้อกูลกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ถ้าคุณบรรหารบอกขอสุพรรณไว้ให้พรรคชาติไทยได้ไหมอย่างนี้ ทุกคนก็เกรงใจหมดสมัยก่อนชัดเจนเลย คุณทักษิณก็บอกโอเค เราเว้นสุพรรณบุรีไว้ให้ท่านบรรหาร มีลักษณะแบบนั้น จนพรรคชาติไทยเองก็อยู่กันมาแบบนี้ จนถึงถูกยุบพรรคเปลี่ยนเป็นชาติไทยพัฒนา
"การเลือกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก่อนหน้านี้ ยังยึดมั่นเป็นพรรคตัวเอง อาจจะอยู่แบบแค่รักษาพื้นที่ขอเราจังหวัดเดียวเน้นๆ ไม่ไปกล้ำกายใคร แต่ว่าคนอื่นก็อย่ามารุกรานเรา ขอแค่นี้ และอาจจะมีพันธมิตรไปอยู่พรรคไหนก็ไม่ได้ ซมซานมาเราก็รับเอาไว้ เช่น นครปฐม
“ขนาดพื้นที่สุพรรณประมาณ 7- 8 เขตโดยประมาณบวกกับเพื่อนๆ หรือปาร์ตี้ลิสต์ก็จะได้ประมาณ 10 ที่นั่ง แต่ว่าเป็น 10 ที่นั่งที่ใครๆก็รัก เพราะเป็นขนาดกำลังดี แล้วก็ไม่ได้สร้างความกังวลใจให้ใคร เวลาใครตั้งรัฐบาลก็พร้อมที่จะเอา 10 ที่นั่งเข้าไปร่วม แปลว่า เป็นโอกาสอันดีในการเป็นพรรคขนาดเล็กที่พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลทุกครั้งหลังเลือกตั้ง สส. 10 ที่นั่ง แปลว่าหนึ่งเก้าอี้รัฐมนตรีการันตีอยู่แล้วในทางการเมืองไทย”
กลุ่มชลบุรี แตกต่าง บ้านใหญ่ชทพ.
ดร.สติธร ยังวิเคราะห์ กลุ่มชลบุรีของสนธยา คุณปลื้ม ด้วยว่า ชลบุรีจะมีลักษณะแตกต่างจาก บ้านใหญ่ชาติไทยพัฒนาในเรื่องความเก่าแก่ กรณีชาติไทย เป็นพรรคเก่าแก่มรดกตกทอดกันมา ส่วนกลุ่มชลบุรี มีลักษณะว่าก่อนหน้าที่จะมาถึงทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายรูปแบบ
ครั้งหนึ่งเคยอยู่กับพรรคชาติไทย ต่อมาเคยอยู่กับไทยรักไทย กระทั่งไปตั้งพรรคของตัวเองชื่อพลังชล วันนี้ก้ำกึ่งว่าระหว่างจะอยู่พรรคใหญ่หรือจะไปตั้งพรรคเล็ก เพราะตอนหลังเราเห็นกระแสบอกว่าจะขยายตัวจากพลังชลเป็นพลังบูรพา แต่ด้วยโอกาสทางการเมือง เขาอาจจะประเมินแล้วว่า ถ้าเป็นพรรคเล็กไปแข่งในสมรภูมิอย่างชลบุรี สองขั้วใหญ่ปะทะกันอยู่แล้ว คือ พรรคใหญ่อาจจะมีหลายพรรคแล้วก็แย่งกันเอง
เหตุผล กลุ่มชลฯ ปรับเกม รวมภท.สู้ค่ายสีส้ม
อย่างการเลือกตั้งปี 2566 มีทั้งรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ เพื่อไทย ในขณะที่พรรคอีกแนวหนึ่งเกิดขึ้นมาใหม่คือพรรคก้าวไกล เป็นพรรคกระแสปะทะกัน ปรากฏว่า ตัดคะแนนกันเอง กลุ่มพรรคใหญ่เลยได้เปรียบ วันนี้ก็เลยคิดโมเดลว่าถ้าจะเป็นพรรคเล็กลงไปแข่งอีกในสนามแบบนี้ แบ่งคะแนนกับเขาไม่ไหว ถ้าจะไปพรรคใหญ่ก็ต้องรวมกันให้ได้ เป็นพรรคใหญ่พรรคเดียว ตัดคะแนนกันเองในกลุ่มพรรคใหญ่ ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
“เพราะฉะนั้น เราอาจจะมองเกมได้ว่าชลบุรีน่าจะคุยกันแล้วในกลุ่มสไตล์บ้านใหญ่บ้านใหม่คล้ายๆว่าขอไปรวมตัวกันที่บ้านไหนสักแห่งหนึ่ง ที่เรียกว่าพรรคการเมืองแล้วสู้กับพลังสีส้มได้ลุ้นกว่า คือต่อให้ไม่ได้ทั้งหมดก็แบ่งว่าสักครึ่ง คงไม่ถึงกับเสียไปแบบส่วนใหญ่แบบมี 10 เขตเสียไป 7 เขตได้แค่ 3 เขต"
ดร.สติธร บอกด้วยว่า โมเดลแบบนี้มีการใช้แล้ว ในการเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างเช่น สนามอบจ. เวลาเขาหลีกให้กัน นายกอบจ.เขาส่งทีมบ้านใหญ่ลงไป ทีมบ้านใหม่คุณก็ไปกวาดเอาสจ.ต่างๆ พบว่าได้ผล สามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคประชาชนได้ชัดเจน
สัญชาติญาณนักการเมืองจมูกไว
ดร.สติธร กล่าวว่า ปรากฎการณ์บ้านใหญ่เคลื่อนย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทย สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเกิดเปรียบเทียบแบบนี้ว่านักการเมืองจมูกไวคงไม่ใช่คำไม่สุภาพ ผมก็คิดว่าอย่างงั้น คือ เขาสัมผัสพื้นที่จริง เขารับรู้กระแสได้ แต่อย่างพวกเราคนนอกพื้นที่ รู้เฉพาะกระแสที่อยู่ข้างบนนั่นคือกระแสในสื่อโซเชียล
“แต่กระแสพื้นที่ด้วยความลงไปใกล้ชิด มีเครือข่าย มีหัวคะแนน มีพรรคพวก เขามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลาว่า พื้นที่ตรงนี้ กระแสตอบรับจากพี่น้องประชาชน ต้องส่งคนแบบไหนจะถูกใจเขา ต้องนำเสนออะไร เขาจะชอบ เขาอยากได้อะไร” ดร.สติธร กล่าว