
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ.รุ่นที่ 68 ว่า ในวันนี้ (12 พ.ย.) ตนดีใจและภูมิใจ ที่ได้กลับมาสถาบัน วปอ.อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนเคยเป็นนักศึกษาในหลักสูตร วปอ.มาก่อน และตนถือว่า เป็นการพบกับบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของประเทศ เป็นผู้นำระดับสูงจากทุกภาคส่วน ที่มีประสบการณ์ และตระหนักเสมอว่า ในยุคนี้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงไม่ได้มาในรูปแบบของการรบด้วยอาวุธสรรพกำลัง แต่แฝงมาในรูปของการแข่งขันทางข้อมูลการค้า เศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการผันผวนของตลาดโลก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ทุกครั้งที่ตนได้ไปร่วมประชุมนานาชาติ ก็จะเห็นได้ชัดว่า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้น ได้กลายเป็นแนวรบใหม่ของทุกประเทศในโลกนี้ หากเศรษฐกิจสั่นคลอน ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น ความไม่พอใจในสังคมก็จะขยายตัวเป็นความปั่นป่วนมีผลต่อเสถียรภาพทางด้านการเมืองสังคม ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องสร้างเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่ต้องเป็นเศรษฐกิจที่มีความสมดุลเสมอภาค รัฐบาลที่ตนเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีนี้ มุ่งเน้นการประคับประคอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อย ให้มีกำลังพอที่จะยืนได้ด้วยตนเอง เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส ที่กำลังดำเนินการอยู่ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่เพียงพอ รัฐบาลของตนยังให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงเชิงบูรณาการ คือ การเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจ และความมั่นคงเอาไว้ด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง เพราะถ้าไม่บูรณาการร่วมกัน ก็จะเป็นการเสียศูนย์ แม้แต่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ที่ทุกวันนี้ต้องประชุมกันบ่อย เพราะมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และใช้กลไกของ สมช. ซึ่งถือเป็นการบูรณาการร่วมกัน ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และมีข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงภายใน เพราะหากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปจะไม่ครอบคลุม เพราะต้องตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญให้กับประเทศ ดังนั้น เดี๋ยวนี้จะจัดการอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ตนขอย้ำว่า ต้องทำงานกันเป็นแผง มากันยกแผง
นายกรัฐมนตรี กล่าวยังกล่าวถึงปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ การปราบปรามสแกมเมอร์ว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมารัฐบาลได้บูรณาการหน่วยงานในสังกัดราชการตลอดจนภาคเอกชน 15 หน่วยงาน เพื่อปราบอาชญากรรมสแกมเมอร์ ร่วมมือกันทำให้ทุกคนเห็นว่า หากต่างคน ต่างทำ ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การทำงานร่วมกันก็จะทำให้มีพลังและเกิดประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรี ยังเห็นว่า ภาคเอกชน ถือเป็นแนวหน้าในทางเศรษฐกิจ หลาย ๆ ประเทศภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ถือเป็นกระดูกสันหลังของแผ่นดิน เพราะเป็น Real Sector หรือผู้ที่อยู่ในบทบาทด้านเศรษฐกิจตัวจริง เพราะทุกการลงทุน คือการสร้างงานสร้างรายได้ การลดแรงกดดันทางสังคม และการนำภาษีมาจ่ายให้กับภาครัฐเพื่อนำเงินเหล่านี้พัฒนาบ้านเมืองต่อไป รัฐบาลจึงมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด พร้อมระบุว่า มีข้าราชการการเมือง หรือข้าราชการประจำหลายคนชอบพูดว่า เอื้อเอกชน แต่เงินเดือนข้าราชการก็มาจากเหล่านี้ เพราะถ้าเอกชนประกอบอาชีพ ประกอบกิจการแล้วไม่มีผลกำไร ก็ขาดทุน ก็ไม่เสียภาษี และถ้าเก๋าขึ้นไปกว่านั้น เอกชนก็เรียกภาษีคืนด้วย เพราะก่อนหน้านี้ เสีย Vat ไปก่อน บางทีจ่ายเกินไป อธิบดีสรรพากรก็เก่งดึงให้ช้า ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของภาคเอกชนนั้นตึง หลายครั้งที่ทำนายกรัฐบาลต้องเชิญอธิบดีต่างๆช่วยเร่งทำสัญญาเร่งจ่ายเพราะเงินไม่เข้าสู่ในระบบ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวช่วงหนึ่งถึงการประชุม สมช.เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) เพื่อประเมินสถานการณ์ว่า เมื่อมีการลงนามในปฏิญญาแล้ว แต่ผู้ลงนามกับไทยไม่ปฏิบัติตาม ฝ่ายไทยต้องกลับมาพิจารณาว่า จะต้องดำเนินการอย่างไร ตนเองก็ร้องเพลง My Way ของตนเอง ซึ่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไปนั่งโต๊ะเจรจากับอีกฝ่ายแล้วมาบอกว่า เดี๋ยวจะกลับมาว่ากันใหม่ แบบนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่ต้องการ คือ 4 ข้อหลัก อีกฝ่ายไม่ทำแต่เราทำ และไทยทำครบทุกข้อ เพราะต้องการให้เกิดสันติภาพเร็วที่สุด เมื่ออีกฝ่ายไม่ทำแล้วจะมาบอกว่าโทษที เดี๋ยวกลับมาใหม่ ทำแบบนี้ไม่ได้
นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ รัฐบาล กำลังพิจารณาว่า จะทำอย่างไรต่อไป แต่ต้องอยู่บนผลประโยชน์ ความปลอดภัย และสิ่งที่ประชาชนไทยรับได้เท่านั้น ตนเองจึงบอกว่า เดี๋ยวเจรจาการค้าภาษีเป็นอย่างไร ไม่สน หากขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ต้องขายประเทศอื่น จะเอาชีวิตฝากไว้ประเทศเดียวไม่ได้ และต้องทำให้จุดแข็งของไทยดีลกับทั่วโลกได้ และมาตั้งกฎระเบียบใหม่ในประเทศ ทั้งสร้างดีมาน หรือหากใช้ภาษีกับไทย ไทยก็ต้องหาตลาดใหม่ และอาจจะพูดคุยกับประเทศที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกัน สุดท้ายคนเดือดร้อน คือ ผู้ซื้อ ซึ่งเราเป็นผู้ผลิต เราก็หันมาซื้อของเราให้ได้มากที่สุด เราต้องอยู่ให้ได้
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำในช่วงท้ายว่า รุ่นนี้รุ่น 68 ตนรุ่น 61 ยังคุยกันรู้เรื่อง ในรอบ 10 ถึง 15 ปี ที่จะมีการพูดคุยพบปะกัน ซึ่งในที่นี้ ก็รู้จักกันกว่า 80% ก่อนถามหานายธนพร ศรียางกูร และกล่าวว่า ต้องไม่มีการเมืองใน วปอ.ทุกอย่างต้องหลอมรวม ไม่ให้อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องเข้ามาเพื่อที่จะให้ใช้คุณงามความดีทำงานให้กับบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน
สำหรับนักเรียนวปอ.รุ่น 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 299 คน มีบุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ พันตํารวจตรี ยุทธนา แพรดํา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ผบช.สอท.), พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นต้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการระงับ Joint Declaration หรือ JD จะต้องชี้แจงกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียหรือไม่ว่า ไม่มี 4 ข้อตาม JD นั้นแล้ว จะมีข้อที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการ ก็เป็นไปตาม Do it My Way (ทำตามวิถีของฉัน) ซึ่งตนไม่รู้จะพูดอย่างไร
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี เมินมาตรการภาษีทรัมป์จากการระงับ JD นั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไทยต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้น ก็ต้องแสวงหาโอกาส และหาตลาดใหม่ใหม่อยู่ตลอดเวลา และพัฒนาคุณภาพสินค้าของประเทศไทย ให้เป็นที่ต้องการของทั่วโลกให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งศักยภาพของประเทศไทยมีแล้ว และจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวฉุด หรือทำให้ไทยเสียเปรียบ หรือทำให้อธิปไตยของไทยถูกก้าวล่วง
ส่วนจะมีการชี้แจงกับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ลงนาม JD นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่
ส่วนกระแสสังคมที่ส่วนหนึ่งสนับสนุนให้มีการสู้รบ และส่วนหนึ่งกังวลการสู้รบจะเกิดขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า แผนปฎิบัติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องความมั่นคง การป้องกันประเทศ ไม่สามารถมาพูดในลักษณะการให้สัมภาษณ์ฟฝได้ แต่ในความเป็นรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.และได้กำหนดมาตรการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่ออธิปไตยของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของทหาร และเจ้าหน้าที่ที่คอยปกป้องดูแลแผ่นดิน พร้อมย้ำว่า ทุกอย่างมีอยู่ในแผนการดำเนินการทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ส่วนขณะนี้มีการเตรียมกำลังทางทหารพร้อมแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ได้พยักหน้า พร้อมกล่าวว่า “แน่นอนครับ”