svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

นายกฯ ลั่น! เปิดด่านต้องถาม ปชช.ชี้กัมพูชาถอนอาวุธเรื่องดี

นายกฯ ขอบคุณ ปชช.ให้ความร่วมมือคลายสถานการณ์ชายแดนสระแก้ว - ชี้กัมพูชาถอนอาวุธเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ลั่น! ต้องถาม ปชช.ก่อนเปิดด่าน - ย้ำปล่อย 18 เชลยตามขั้นตอน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลี หลังเสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเข้าร่วมการประชุมเขตเศรษฐกิจพิเศษ APEC โดยได้ขอบคุณผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ที่ร่วมกันทำให้สถานการณ์จังหวัดสระแก้ว คลี่คลายไปในทางที่ดี ไม่ทำให้เกิดการปะทะกันของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตนได้ร้องขอให้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พื้นที่ด้วยตนเอง เพราะหากเกิดการปะทะกันในระดับประชาชน ก็จะยากต่อการทำให้สถานการณ์สงบ จึงขอบคุณที่ช่วยบริหารสถานการณ์ และขอบคุณในความร่วมมือของประชาชนด้วย พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะใช้ทุกวิธีการ ทั้งความมั่นคง และการเจรจาตามกรอบการเจรจา เพื่อทำให้ประเทศเกิดสันติสุข

ส่วนกรณีที่ตนเองให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีการสื่อสารผิดว่า ประเทศไทยมีการรุกล้ำพื้นที่นั้น นายกรัฐมนตรี ได้กราบขออภัยประชาชน พร้อมยอมรับความผิดพลาด ความบกพร่องในการสื่อสารต่อประชาชน และจะระมัดระวังไม่ให้เกิดการสื่อสารผิดพลาดอีก และขออภัยที่ทำให้ประชาชน เกิดความระแวงสงสัย แต่ยืนยันว่า ไม่มีทางที่ประเทศไทย จะเสียดินแดน เสียอธิปไตย เสียเกียรติภูมิ หรือเสียศักดิ์ศรี และประชาชนคนไทยทุกคน จะต้องปลอดภัยจากข้อพิพาท 2 ประเทศ โดยตนเองไม่ยอมให้เกิดความสูญเสียเพิ่มขึ้นอีก

 

ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชา ยอมถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนแล้วนั้น นายกรัฐมนตรี เห็นว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งไทยได้ลงนามกับกัมพูชาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และ 2 ประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ที่ดีต่อกันในการถอนอาวุธ และขณะนี้ ฝ่ายกองทัพ ได้มีการเจรจากับกองทัพกัมพูชาตลอด ในการกำหนดมาตรการ และวิธีการถอนอาวุธจากจุดต่าง ๆ และการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะมีความอันตราย และจากความเข้าใจต่อปฏิญญา 2 ฝ่าย และโลกเป็นพยาน ทุกฝ่ายจึงพยายามทำตามข้อกำหนดที่ได้ตกลงกันไว้ 

ส่วนกรณีที่ประชาชนกังวลจะเสียปราสาทตาควานนั้น นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า ไทย-กัมพูชา จะต้องใช้วิธีการเจรจาแก้ปัญหา ซึ่งเป็นวิธีการดั้งเดิม ทั้ง JBC RBC และ GBC และในการลงนามปฏิญญา ก็ถือเป็นการกำหนดชัดเจนว่า จะกลับไปใช้กรอบการเจรจาเหล่านั้น 

 

ส่วนกรณีที่กองทัพถูกโจมตี จากคณะกรรมาธิการการทหารฯ ที่ต้องพึ่งการบริจาคยุทธภัณฑ์จากมูลนิธิกันจอมพลังนั้น นายกรัฐมนตรี เห็นว่า หากไปพิจารณางบประมาณกระทรวงกลาโหม ก็อยู่ในลำดับต้น ๆ แต่ถือเป็นรูปแบบของประเทศไทย ซึ่งตนเองไม่ได้ยินกองทัพออกไปขอยุทธภัณฑ์ หรือขอรับบริจาคเพราะไม่มีงบประมาณ แต่เมื่อเกิดเหตุ ก็ถือเป็นพลังของคนไทย และเห็นว่า การรักษาอธิปไตยมาได้ และรบกับใครไม่มีแพ้ เพราะเมื่อเกิดข้อพิพาท ประชาชนจะรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว และพร้อมช่วยเหลือ ซึ่งตนเองก็ทราบว่า มีการเปิดศูนย์อพยพ และมีของหลั่งไหลจากทั่วสาราทิศ ซึ่งเป็นจิตสาธารณะของคนไทย

 

ส่วนการเปิดด่านชายแดนกัมพูชาตามกระแสข่าวนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ย้อนถามกลับว่า กระแสข่าวนั้น มาจากใคร พร้อมยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีการพูดคุยใด ๆ และไม่ได้มีหารือ ซึ่งการเปิดด่าน ตนขอย้ำว่า หากตนยังอยู่ในรัฐบาล และจะเปิดด่าน ตนต้องขอประชาชนก่อน เพราะตนเข้าใจว่า มาถึงจุดที่รัฐบาลต้องฟังประชาชนในการเปิดด่าน และจะไม่เปิดด่านจนกว่าจะมั่นใจได้ว่า ภัยความมั่นคงประเทศชาติลดลงจนสามารถวางใจ และควบคุมได้ ซึ่งก่อนด่านตนจะถามประชาชน 

 

ส่วนการปล่อยตัว 18 เชลยศึก และกระแสข่าวที่มีการขอลี้ภัยด้วยนั้น นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า จะต้องเป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งกระแสข่าวที่เชลยศึกขอลี้ภัยนั้น ไม่ได้อยู่ในปฏิญญา และฝ่ายกองทัพได้มีการพูดคุย ดังนั้น ฝ่ายไทยจะเป็นฝ่ายกำหนด และประเมินแล้วว่า 2 ฝ่าย และกัมพูชาให้ความร่วมมือ พร้อมยืนยันว่า ในอนาคตหากจะต้องมีการเจรจาใด ๆ อีก ฝ่ายไทยจะไม่ใช้ชีวิตในการกดดัน ส่วนเรื่องการลี้ภัยนั้น มีกติกาสากลกำกับอยู่ แต่ ณ ปัจจุบัน ในการปล่อยนายทหารทั้ง 18 นาย หากไทยประเมินแล้วว่า อยู่ฝ่ายไทยแล้วไม่น่าเกิดประโยชน์อะไร ก็จะส่งกลับไป ซึ่งคาดว่า ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใด ๆ แล้ว 

 

ขณะที่ พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเงื่อนไขในการปล่อยตัวนายทหาร 18 คนของกัมพูชา ที่เป็นไปตามเงื่อนไขในการเจรจา เช่น การถอนอาวุธว่า การถอนอาวุธนั้น ได้กำหนดไว้ใน 3 ระยะ โดยระยะแรก ถอนอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงก่อน 21 วันแรก เช่น BM-21 และปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตรกลับไปฐานที่ตั้ง และฝ่ายไทยก็ถอนเช่นเดียวกัน โดนมีผู้สังเกตการณ์ AOT ของทั้ง 2 ประเทศสังเกตการณ์ ซึ่งมีความเป็นกลาง และเชื่อมั่นได้ ซึ่งหากกัมพูชา กระทำตามกติกา ทั้งถอนอาวุธ และกู้ระเบิด ดำเนินการตามขั้นตอน ก็จะมีการประเมินเพื่อดำเนินการต่อไป