
29 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม IPU หรือ สมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้แทนรัฐสภาไทยนำโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาไทย สร้างประวัติศาสตร์ของประเทศในเวที IPU คือ การเสนอ “ข้อมติว่าด้วยการจัดการปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมองค์กรข้ามชาติ“ ให้บรรจุเป็นระเบียบวาระเร่งด่วน หรือ Emergency item ของ IPU ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของไทย โดยเป็นข้อมติที่ชนะโหวตด้วยเสียง 2 ใน 3 จากผู้แทนรัฐสภาทั่วโลก และที่ประชุมใหญ่ IPU ให้การรับรอง โดยหลังจากนี้จะนำไปสู่การปฏิบัติภายใต้ความร่วมมือของรัฐสภาทั่วโลกต่อไป
โดยประธานวันนอร์ กล่าวว่า ฝ่ายสภาได้แถลงข่าวในวันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 เพื่อรายงานผลงานของทีมรัฐสภาไทยในเวที IPU ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ และจะถือโอกาสกระตุ้นเตือนและเรียกร้องไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาล ให้เร่งรัดจริงจังในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ เนื่องจากในเวทีโลก ประเทศไทยเป็นเจ้าของ “ข้อมติ” เรื่องนี้เอง ฉะนั้นจะต้องแสดงความหนักแน่นในการแก้ไขปัญหาให้เห็นเป็นตัวอย่าง จะปล่อยให้ปัญหาสแกมเมอร์ร้ายแรงกว่าประเทศอื่นไม่ได้
โดยทางสภาจะจัดพิมพ์ข้อมติที่ผ่านการรับรองจาก IPU ส่งให้นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงดิจิทัล(ดีอี) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจไซเบอร์ กสทช. และหน่วยงานอื่นๆ ต่อไป
บุกพบ “เลขาฯ IPU” ก่อนเยือนไทยร่วมเวทีพระปกเกล้า
รายงานข่าวแจ้งว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อมติของไทยที่ผ่านการรับรองของ IPU หรือเรียกง่ายๆ ว่า “สหภาพรัฐสภาโลก” นั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับกัมพูชา ซึ่งทั่วโลกรับรู้ตรงกันว่าเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก และกำลังถูกชาติมหาอำนาจกดดันอย่างหนัก ทั้งยึดทรัพย์บริษัทที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จากกิจกรรมหลอกลวง และธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงิน โดยเฉพาะธนาคารและกองทุนเพื่อการลงทุนขนาดใหญ่
ตลอดการประชุม IPU กัมพูชาพยายามเดินเกมสกัดการเสนอข้อมติเกี่ยวกับสแกมเมอร์อย่างเงียบๆ แต่เมื่อสกัดไม่สำเร็จ จึงเสนอตัวเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการตรวจร่างข้อมติและแก้ไขถ้อยคำ ทั้งที่ประเทศตัวเองไม่ได้ร่วมโหวตสนับสนุนข้อมตินี้ของไทย
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ผู้แทนรัฐสภากัมพูชาได้บุกเข้าพบ นายมาร์ติน จุนกอง เลขาธิการสหภาพรัฐสภา หรือ เลขาธิการ IPU เพื่อขอให้ช่วยนัดหารือทวิภาคีกับไทย เกี่ยวกับข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไทยจากเวที IPU ซึ่งกัมพูชามองว่าเป็นลบกับฝ่ายตน
อย่างไรก็ดี การพบปะหารือแบบทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาระหว่างการประชุม IPU ไม่เกิดขึ้นจริง แม้เลขาธิการมาร์ติน จะประสานกับฝ่ายไทยเรียบร้อยแล้วก็ตาม เพราะสุดท้ายกัมพูชาขอเลื่อนการประชุมออกไปเองอย่างไม่มีกำหนด และไม่มีการนัดหมายมาใหม่อีกเลย กระทั่งการประชุม IPU ปิดฉากลงไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายมาร์ติน จุนกอง เลขาธิการ IPU เพิ่งตอบรับคำเชิญจาก ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเข้าร่วมเป็นวิทยากรสำคัญ หรือ Keynote ในการประชุม KPI Congress 2025 ซึ่งหมายถึง “การประชุมวิชาการของสถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 27” ในหัวข้อ “ประชาธิปไตยและการทูตสิ่งแวดล้อม : แพลตฟอร์มสำหรับประเทศไทยในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568
โดย ดร.อิสระ ให้สัมภาษณ์ยืนยันกับ ข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี ว่า นายมาร์ติน เลขาธิการ IPU จะเดินทางมาร่วมปาฐกถาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
จากความเคลื่อนไหวนี้ ทำให้บางฝ่ายวิเคราะห์ว่า (ไม่เกี่ยวกับเลขาฯอิสระ หรือสถาบันพระปกเกล้า) เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายกัมพูชาทราบกำหนดการของนายมาร์ติน จึงพยายามเข้าพบระหว่างการประชุม IPU เพื่อใส่ข้อมูลอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับประเทศไทย ก่อนที่นายมาร์ตินจะเดินทางมาไทย เพื่อร่วมเวที KPI Congress
กัมพูชานัดเยือนฮังการีตัดหน้าทีม ปธ.สภาไทย
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 2-6 พฤศจิกายน 2568 ที่จะถึงนี้ ประธานวันนอร์ ในฐานะประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า พร้อมด้วย ดร.อิสระ เลขาธิการสถาบันฯ และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศฮังการี เพื่อเข้าพบประธานรัฐสภา รองนายกรัฐมนตรี และมีกำหนดการที่น่าสนใจ คือ การไปเยือน “สถาบันดานูบ” หรือ Dabube Institute ซึ่งจะมีการนำเสนอรายงานจากผู้วิจัยด้าน “ภูมิรัฐศาสตร์ของฮังการี และความสัมพันธ์กับเอเชีย” ด้วย ซึ่งสะท้อนว่า ฮังการีสนใจเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ ของโลก รวมถึงบทบาทของชาติมหาอำนาจ ซึ่งอาจมีเนื้อหาบางส่วน ต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับข้อพิพาทไทย-กัมพูชาด้วยก็เป็นได้
กำหนดการเยือนฮังการีของสถาบันพระปกเกล้า มีการวางแผนไว้ค่อนข้างนานแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน แต่ปรากฏว่าล่าสุด ในช่วงท้ายของการประชุมสหภาพรัฐสภา หรือ IPU มีข่าวว่าทางกัมพูชาได้ประสานขอไปเยือนฮังการี โดยวางกำหนดการก่อนคณะของไทยเดินทางไปเยือน 1 วัน ซึ่งคาดว่าคณะของกัมพูชาที่ไปเยือน อาจจะเป็นคณะผู้แทนรัฐสภาคณะเดียวกับที่ไปร่วมประชุม IPU ก็เป็นได้ โดยขณะนี้ทีมรัฐสภาไทยและคณะของสถาบันพระปกเกล้า ยังไม่ทราบเหตุผลที่กัมพูชาประสานไปเยือนฮังการีก่อนไทย
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก National Assembly Of Cambodia รัฐสภากัมพูชา โพสต์ระบุว่า “สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานสภากัมพูชา ได้พบปะหารือเรื่องงานกับรองประธานรัฐสภาฮังการีคนที่ 1 ระหว่างอาหารเช้าก่อนที่จะเสร็จสิ้นการเยือนฮังการีอย่างเป็นทางการและเป็นมิตรในเช้าวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ท่านประธานรัฐสภา ควน โซะดารี ได้เข้าพบกับ ท่าน มาร์ตา มัทราอิ (Marta Matrai) รองประธานรัฐสภาฮังการีคนที่ 1 ท่านประธานรัฐสภาได้แสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อรัฐสภาฮังการีที่ได้ให้การต้อนรับการเยือนของคณะของท่านอย่างอบอุ่น และได้จัดโปรแกรมที่มีความหมาย โดยท่านได้มีโอกาสพบปะกับผู้นำหลักของฮังการี ทั้งในสถาบันนิติบัญญัติและบริหาร ซึ่งนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่มีความหมายในการเสริมสร้างมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชน
ท่านประธานรัฐสภาแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่าน มาร์ตา มัทราอิอีกครั้งในครั้งนี้ หลังจากที่ได้มีการหารือที่มีความหมายในช่วงต้นปี 2568 เมื่อครั้งที่ท่าน มาร์ตา มัทราอินำคณะผู้แทนเยือนกัมพูชา
ท่านประธานรัฐสภา ได้กล่าวว่า ในการเยือนฮังการีในระยะเวลาสั้นๆ นี้ คณะผู้แทนกัมพูชาได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์มากมายจากเพื่อนชาวฮังการี ผ่านการเยี่ยมชมพื้นที่ทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว ศูนย์กลางการค้า และได้มีการหารือกับ ฯพณฯ ลาซโล โคเวอร์ (Kövér László) ประธานรัฐสภาฮังการี และผู้นำฮังการีท่านอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้รัฐสภาทั้งสองได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างรัฐสภาทั้งสองต่อไป
ท่านประธานรัฐสภา ได้กล่าวว่า ในการเยือนฮังการีครั้งนี้ คณะผู้แทนได้รับของที่ระลึกและความทรงจำที่มีความหมาย ท่านรองประธานรัฐสภาฮังการีคนที่ 1 ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัมพูชาและฮังการีที่มีมาอย่างยาวนาน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของพลเมือง ความซื่อสัตย์ และความไว้วางใจ กัมพูชาและฮังการีมีมุมมองทางการเมืองที่รักสันติภาพที่คล้ายคลึงกัน ณ จุดนี้ ท่านได้เน้นย้ำถึง บทบาทสำคัญของรัฐสภา ในการเสริมสร้างระบอบพหุภาคีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจในการปกป้องสันติภาพ และอีกบทบาทสำคัญของผู้แทนในการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ในโอกาสนี้ ท่านประธานรัฐสภาได้แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับ ข้อตกลงสันติภาพ ที่นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและไทยได้ลงนามเมื่อไม่กี่วันก่อน ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งบริเวณชายแดนมาประมาณ 5 เดือน ข้อตกลงนี้ได้ช่วยรักษาชีวิตทหารผ่านศึกและพลเรือนผู้บริสุทธิ์นับพันคนจากสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง ข้อตกลงสันติภาพคือความปรารถนาของผู้นำและพลเมืองกัมพูชา กัมพูชาไม่ต้องการสงครามอีกต่อไปและต้องการเห็นโลกอยู่ในความสงบสุข”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ควน โซะดารี ประธานสภากัมพูชา เคยกลายเป็นประเด็น โดยมีการหลั่งน้ำตาแสดงความเห็นอกเห็นใจชาวกัมพูชา และเรียกความเห็นใจจากนานาประเทศ ในการประชุมสุดยอดประธานรัฐสภาสตรี ครั้งที่ 15 ในห้วงการประชุมสหภาพรัฐสภา ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา