
21 ตุลาคม 2568 การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา หรือ IPU ครั้งที่ 151 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคม มีการประชุมคู่ขนาน และการประชุมกลุ่มของคณะกรรมาธิการสามัญชุดต่างๆ ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจอีกหลายคณะ
แทบทุกคณะมีสมาชิกรัฐสภาจากประเทศไทย ไปร่วมแสดงความคิดเห็น และกล่าวถ้อยแถลงในนามตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบถึงจุดยืนของไทย และสิ่งที่รัฐสภาไทยกำลังดำเนินการต่อปัญหาต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญ
อย่างเช่นในคณะกรรมาธิการสามัญ ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน นายอนุชา บูรพชัยศรี หรือ “สส.เจมส์” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายในหัวข้อ “การสร้างเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรมและยั่งยืน: บทบาทของรัฐสภาในการต่อสู้กับการกีดกันทางการค้า การลดภาษีศุลกากร และการป้องกันการหนีภาษีของบริษัท” ซึ่งนับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทย
การอภิปรายในหัวข้อนี้ มีขึ้นในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม โดย สส.อนุชา ได้สะท้อนภาพรวมของปัญหาต่อวงประชุมว่า ในปัจจุบันการกีดกันทางการค้ามีเพิ่มขึ้น, ระบบการค้าที่ไม่เท่าเทียม และการหนีภาษีของบริษัทเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ก่อให้เกิดความท้าทายที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่า
สส.จากประเทศไทยอธิบายว่า ความท้าทายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของประชาคมโลก ในการบรรลุการเติบโตที่ครอบคลุม หรือที่เรียกว่า inclusive growth และการตอบสนองต่อความปรารถนาของประชาชน เพราะเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรมต้องตั้งอยู่บนสามเสาหลักพื้นฐาน ได้แก่
หนึ่ง การค้าที่เปิดกว้างและเท่าเทียม
สอง ความยุติธรรมทางการคลัง
สาม การพัฒนาที่ยั่งยืน
แต่มาตรการกีดกันทางการค้า และกำแพงภาษีที่ไม่สมเหตุสมผล ได้บ่อนทำลายความไว้วางใจ บิดเบือนตลาด และจำกัดโอกาสสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่า
ในขณะเดียวกัน การหนีภาษีของบริษัทก็ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ที่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต่อการลงทุนด้านการศึกษา สาธารณสุข และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว หรือ green transition
สส.อนุชา กล่าวถึงข้อเสนอของประเทศไทยว่า การทำให้แน่ใจว่าระบบการค้า และภาษีระหว่างประเทศทำงานเพื่อทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดเท่านั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อความก้าวหน้าที่ยั่งยืนและครอบคลุม
“เราสนับสนุนอย่างแข็งขัน ต่อวิสัยทัศน์ที่ปรากฏอยู่ในร่างญัตติของคณะกรรมาธิการชุดนี้ โดยประเทศไทย ปรารถนาที่จะเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของรัฐสภา ในการขับเคลื่อนวัตถุประสงค์ร่วมกัน” สส.จากประเทศไทย ระบุ
สส.อนุชา เสนอประเด็นที่รัฐสภาต้องสามารถตรวจสอบได้ เพื่อสกัดกั้นปัญหาการกีดกันทางการค้าและการหนีภาษี ได้แก่
- รัฐสภาต้องสามารถตรวจสอบข้อตกลงทางการค้า เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงเหล่านั้น ส่งเสริมการมีส่วนร่วม และไม่สร้างข้อเสียเปรียบซ่อนเร้นต่อประเทศกำลังพัฒนา
- รัฐสภาต้องสามารถออกกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ ที่ทำให้บริษัทข้ามชาติสามารถยักย้ายกำไร หรือ profit shifting และหลีกเลี่ยงภาษีอย่างเข้มข้น หรือ aggressive tax avoidance ได้
- รัฐสภาต้องสามารถกำกับดูแลนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs และหลักการของความเป็นธรรมและความโปร่งใส
- รัฐสภาต้องสามารถส่งเสริมการเจรจาระหว่างประชาชน ภาคธุรกิจ และพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจสาธารณะและความรับผิดชอบร่วมกัน
สส.อนุชา ตั้งข้อสังเกตในตอนท้ายว่า ในขณะที่เราแสวงหาความร่วมมือระดับโลก เราก็ต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ โดยประเทศขนาดเล็กและกำลังพัฒนา ต้องระวังความไม่สมดุลเชิงระบบ ซึ่งประเทศที่มีอำนาจกำหนดกฎเกณฑ์เศรษฐกิจโลก อาจทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้น การสร้างเศรษฐกิจโลกที่เป็นธรรมและยั่งยืน จึงต้องอาศัยทั้งความหวัง และความระมัดระวัง โดยระบอบพหุภาคี จะสามารถนำมาซึ่งความเป็นธรรมได้ และความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่า พันธสัญญาของเราจะแปรเปลี่ยนเป็นการนำไปปฏิบัติจริง
"ประเทศไทยพร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐสภาอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าญัตตินี้ จะไม่เพียงแต่สะท้อนเสียงของผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความต้องการ และสิทธิของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าด้วย ขอให้เราร่วมกันก้าวไปสู่เศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และยั่งยืนสำหรับทุกคน" สส.อนุชา กล่าวปิดท้าย